Top/Flop of the Day : เด่น - ดับ ประจำวันในเวิลด์คัพ 2018 (วันที่ 4)

แบ็คซ้ายกัปตันทีมชาติเซอร์เบียทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมนี้ โดยเขารับผิดชอบพื้นที่ในเกมรับของเขาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องขณะที่ยังเติมเกมรุกช่วยทีมในกราบซ้ายได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำ ก่อนจำเป็นผู้ทำประตูชัยให้ทีมเอาชนะไปได้ในเกมนี้จากลูกฟรีคิกอันเป็นเครื่องหมายการค้าของเขา

ศูนย์หน้าทีมชาติคอสตาริก้าเริ่มต้นเกมได้อย่างมีชีวิตชีวาและมีโอกาสใส่สกอร์ให้กับทีมได้ในช่วงต้นเกมแต่พลาดไป อีกทั้งยังขาดความเฉียบคมมากพอ ก่อนที่บทบาทของเขาในการช่วยทีมเล่นเกมรุกจะค่อยๆหายไป ก่อนโดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงครึ่งหลัง

กุนซือชาวโคลอมเบียมีส่วนกับชัยชนะของเม็กซิโกเป็นอย่างยิ่ง เขาทำเซอร์ไพรส์สั่งลูกทีมเปิดเกมรุกสู้กับแชมป์เก่าแบบไม่กลัวศักดิ์ศรีในครึ่งแรก เล่นงานจุดอ่อนฟูลแบ็คทั้งสองข้างของเยอรมันจนทีมได้ประตูขึ้ันนำ จากนั้นเขาปรับแท็คติคมาเล่นเกมรับทันทีในครึ่งหลังจนนำมาซึ่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของทีม เรียกได้ว่าเกมเดียวเขาโชว์กึ๋นการวางเกมทั้งบู๊และบุ๋นชนิดใครก็ต้องยกนิ้วให้

ไม่ว่าผลงานกับสโมสรจะเลวร้ายแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่เขาสวมเสื้อลงเฝ้าเสาในนามทีมชาติ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโอชัวคือหนึ่งในผู้รักษาประตูที่มีผลงานคงเส้นคงวามากที่สุด ประสบการณ์ของเขาช่วยเกมรับเม็กซิโกได้เยอะมาก โดยเฉพาะการยืนตำแหน่ง เพราะไม่ว่าผู้เล่นเยอรมันจะยิงมาทางไหนก็ไปตรงตัวของเขาเสียหมด เขานี่แหละคือผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในสนามแล้วในวันนี้

บุนเดสเทรนเนอร์ถูกวิจารณ์ตั้งแต่ตอนเลือกนักเตะติดทีมมาแล้ว ยิ่งผลการแข่งขันออกมาแบบนี้ เขายิ่งปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ในเมื่อผู้เล่นที่เขาเลือกมาต่างทำผลงานไม่ได้อย่างที่หวัง โดยเฉพาะบรรดาผู้เล่นในแนวรุกที่พากันสอบตก แถมเกมรับของทีมยังเปิดช่องโหว่งให้เม็กซิโกโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาน่าจะแพ้มากกว่า 1 ประตูด้วยซ้ำถ้าคู่แข่งเด็ดขาดกว่านี้ นี่คือสองปัญหาใหญ่ที่เลิฟต้องเร่งแก้ไขโดยด่วนหากยังหวังรักษาแชมป์โลกไว้อีกสมัย

แนวรุกจาก ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ได้รับความไว้วางใจให้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง แต่เขากลับงัดฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้ มันยิ่งทำให้คนอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีดีกว่า เลรอย ซาเน ที่ถูกตัดออกจากทีมตรงไหน เขาจำเป็นต้องเรียกความมั่นใจกลับมาโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นมีโอกาสสูงเหลือเกินที่จะเขาถูกแข้งรุ่นพี่อย่าง มาร์โก รอยส์ เบียดแย่งตัวจริงไป

เจ้าของสถิติลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 4 สมัยเป็นคนแรกของสวิตเซอร์แลนด์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตามประกบซูเปอร์สตาร์ของบราซิลอย่าง เนย์มาร์ ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าวัยจะล่วงเลยมาถึง 33 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีความเร็วพอที่จะสามารถวิ่งแข่งกับแข้งรุ่นน้องแบบไม่เป็นรอง จนทำให้ เนย์มาร์ โชว์ฟอร์มเก่งไม่ออก กระนั้นเจ้าตัวก็ถือว่าโชคร้ายเล็กน้อยต้องประสบปัญหาบาดเจ็บจนถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วง 20 นาทีสุดท้าย

ในเมื่อผู้ตามประกบเขาอย่าง วาลอน เบห์รามี กลายเป็นดาวเด่นของเกมนี้ เนย์มาร์ ก็ต้องตกเป็นดาวดับไปตามระเบียบ เมื่อต้องมาเจอกับลูกเก๋าของแข้งรุ่นพี่ซึ่งมีความเร็วความคล่องตัวไม่เป็นรองเลยเล่นงานอยู่หลายครั้ง รวมถึงยังโดนนักเตะสวิตเซอร์แลนด์คนอื่นๆตัดเกมหนักๆจนเจ้าตัวแทบจะหมดพิษสงไปเลยในเกมนี้ และเมื่อตัวความหวังโชว์ฟอร์มเก่งไม่ออก ก็ทำให้บราซิลชวดคว้าชัยในเกมนี้ไปอย่างน่าเสียดาย