Getty
Michael Regan/Getty Images10. วิลเฟร็ด เอ็นดีดี้ | เกงค์ - เลสเตอร์ ซิตี้ | 17 ล้านปอนด์ | 2017
เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าตัวกองกลางดาวรุ่งในวัยเพียงแค่ 21 ปี ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก มาเสริมทัพเมื่อ 4 ปีก่อน
ทว่าปัจจุบันดาวเตะชาวไนจีเรียกลายเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตวรับแถวหน้าของพรีเมียร์ลีกไปแล้ว โดยเมื่อฤดูกาลก่อนเขาครองสถิติเป็นนักเตะที่เข้าแท็คเกิ้ลแม่นยำที่สุด 129 ครั้งเท่ากับ อารอน วาน-บิสซาก้า แบ็คขวาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
Getty9. จอห์น สโตนส์ | บาร์นสลีย์ - เอฟเวอร์ตัน | 3 ล้านปอนด์ | 2013
เอฟเวอร์ตันคว้าตัวกองหลังดาวรุ่งวัย 19 ปี ซึ่งเมื่อ 8 ปีก่อนนั้นยังเป็นเพียงนักเตะระดับแชมเปี้ยนชิพกับบาร์นสลีย์เท่านั้น
แต่หลังจากนั้น สโตนส์ ก้าวมาเป็นกองหลังขาประจำของทีมชาติอังกฤษ รวมถึงถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ทุ่มเงิน 50 ล้านปอนด์ กระชากตัวไปเสริมทัพเมื่อช่วงซัมเมอร์ในปี 2016
GOAL8. เนมานยา มาติช | เบนฟิก้า - เชลซี | 22 ล้านปอนด์ | 2014
เชลซี ตัดสินใจคว้าตัวกองกลางชาวเซอร์เบียซึ่งเคยอยู่กับทีมช่วงปี 2009-2011 กลับมาร่วมทีมอีกครั้งเมื่อเดือนมกราคมในปี 2014
จากที่เป็นเพียงตัวสำรองซึ่งได้ลงเล่นแค่ 3 นัด ในการอยู่กับทีมรอบแรก แต่หลังจากได้โอกาสกลับมายังถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์อีกครั้ง เขาก็ก้าวมาเป็นกองกลางตัวหลักของสิงโตน้ำเงินครามแบบเต็มตัว ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 2015 และ 2017 รวมถึงแชมป์ลีกคัพในปี 2015
หลังคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 2 มาติช ก็ถูกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่ายเงิน 40 ล้านปอนด์ คว้าตัวไปเสริมทัพ และยังอยู่กับปีศาจแดงจนถึงปัจจุบัน
Getty7. แกรี เคฮิลล์ | โบลตัน วันเดอเรอร์ส - เชลซี | 7 ล้านปอนด์ | 2012
เชลซี ตัดสินใจจ่ายเงิน 7 ล้านปอนด์ ให้กับ โบลตัน วันเดอเรอร์ส เพื่อคว้าตัวกองหลังดีกรีทีมชาติอังกฤษมาเสริมทัพเมื่อเดือนมกราคมในปี 2012
เคฮิลล์ ก้าวมาเป็นคู่หูตัวหลักร่วมกับ จอห์น เทอร์รี ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ พร้อมพาสิงโตน้ำเงินครามคว้าแชมป์ได้ถึง 8 รายการ ก่อนจะอำลาทีมช่วงซัมเมอร์ในปี 2019
Getty Images6. อายเมอริค ลาปอร์กต์ | แอธเลติก บิลเบา - แมนเชสเตอร์ ซิตี้ | 57 ล้านปอนด์ | 2018
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจจ่ายเงินถึง 57 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัวกองหลังฝีเท้าดีของ แอธเลติก บิลเบา มาเสริมทัพเมื่อเดือนมกราคมในปี 2018
ลาปอร์กต์ ก้าวมาเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักของเรือใบสีฟ้าแบบเต็มตัวในฤดูกาล 2018-2019 ซึ่งเขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และการที่เขาต้องบาดเจ็บพักยาวในฤดูกาลต่อมา ก็มีส่วนสำคัญที่ส่งผลให้ทีมต้องเสียแชมป์ไปให้กับลิเวอร์พูล
Getty5. ฟิลิปป์ คูตินโญ | อินเตอร์ มิลาน - ลิเวอร์พูล | 8.5 ล้านปอนด์ | 2013
คูตินโญ ก้าวมาเป็นนักเตะระดับท็อปเต็มตัว ตลอดช่วงเวลา 6 ปีที่ค้าแข้งกับลิเวอร์พูล
การย้ายออกไปอยู่กับบาร์เซโลนา ในเดือนมกราคมเมื่อปี 2018 ทำให้หงส์แดงได้ค่าตัวถึง 105 ล้านปอนด์ ซึ่งต่อมาแปรเปลี่ยนมาเป็นสองบิ๊กดีลอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อลิสซอน เบ็คเกอร์
Getty Images4. ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง | โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ - อาร์เซนอล | 56 ล้านปอนด์ | 2018
อาร์เซนอลทุ่มเงิน 56 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัวกองหน้าชาวกาบองมาเสริมทัพ พร้อมจ่ายค่าเหนื่อยให้มากที่สุดของทีมในเวลานั้น
แม้ว่าจะประสบปัญหาฟอร์มตกในฤดูกาลนี้ แต่ผลงานการยิงไป 75 ประตู จากการลงเล่นทั้งหมด 126 นัด ก็ถือว่ายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
Getty3. บรูโน แฟร์นันด์ส | สปอร์ติ้ง ลิสบอน - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | 47 ล้านปอนด์ | 2020
มิดฟิลด์ชาวโปรตุกีสเข้ามายกระดับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้กลับมาเป็นทีมระดับท็อปที่มีลุ้นคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง
บรูโน ทำไปแล้วถึง 15 ประตู 9 แอสซิสต์ ในฤดูกาลนี้ จนกลายเป็น "เดอะ แบก" ที่ปีศาจแดงขาดไม่ได้ไปแล้ว
Getty2. หลุยส์ ซัวเรซ | อาแย็กซ์ อัมสเตอร์ดัม - ลิเวอร์พูล | 22.8 ล้านปอนด์ | 2011
หนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่ลิเวอร์พูลเคยมีมา ด้วยสถิติการยิง 82 ประตู จากการลงเล่น 133 เกม
การย้ายไปบาร์เซโลนาในช่วงซัมเมอร์เมื่อปี 2014 ช่วยให้ลิเวอร์พูลได้เงินค่าตัวถึง 65 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
Getty Images1. เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ | เซาแธมป์ตัน - ลิเวอร์พูล | 75 ล้านปอนด์ | 2018
ลิเวอร์พูลตัดสินใจทุ่มเงิน 75 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสถิติโลกของกองหลัง ณ เวลานั้น คว้าตัวกองหลังจากเซาแธมป์ตันมาเสริมแนวรับ
การลงทุนครั้งนี้ของหงส์แดงเรียกได้ว่าเกินคุ้ม โดยเฉพาะการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลก่อน และการที่เขาต้องบาดเจ็บพักยาวในฤดูกาลนี้ ก็ส่งผลต่อผลงานของทีมอย่างเห็นได้ชัด
โฆษณา