Marco Van Basten HDGOAL

Hall of Fame Vol. II - มาร์โก ฟาน บาสเทน เพชฌฆาตพรายกระซิบ หงส์หนุ่มผู้สง่างามแม้ยามปีกหัก

แม้ว่าธรรมชาติจะมอบร่างกายสูงใหญ่น่าเกรงขามให้กับเขา แต่ ฟาน บาสเทน กลับเคลื่อนไหวในสนามฟุตบอลได้พริ้วไหวสง่างาม

แฟนบอลในยุคนั้นนิยามเขาว่ามีลีลาการเล่นสวยงามเหมือนหงส์, พริ้วไหวเหมือนผีเสื้อ, วิ่งได้เหมือนนักบัลเลต์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะเขาได้เรียนรู้เทคนิคหลายอย่างจากสุดยอดปรมาจารย์ลูกหนังอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ ทำให้เขาเหมือนกับสามารถอ่านจังหวะฟุตบอลล่วงหน้าได้

การหลอกล่อ, สัมผัสบอลแรก, การเล่นลูกกลางอากาศที่ยอดเยี่ยม รวมถึงการจ่ายบอลที่แม่นยำ ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก และเป็นเหมือนต้นแบบของบรรดาดาวยิงในยุคโมเดิร์น

แต่การได้ถูกยกให้เป็นหนึ่งในหัวหอกที่ดีสุดตลอดกาลของโลกลูกหนัง เส้นทางไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ เขาต้องผ่านทั้งความเศร้า, อาการบาดเจ็บที่เหมือนต้องคำสาป และโชคร้ายอีกมากมาย เรามาย้อนดูเรื่องราวของตำนานลูกหนังชาวดัตช์รายนี้กัน

  • Marco Van BastenGetty

    ประตูที่น่าทึ่ง

    ฟาน บาสเทน ทำไปทั้งหมด 314 ประตู โดยแบ่งป็น 277 ประตูกับสโมสร 24 ประตูกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ชุดใหญ่ และ 13 ประตูกับทีมชาติชุด U-21

    ประตูที่ยอดเยี่ยมของเขามีมากมาย แต่ที่ยังถูกพูดถึงจนทุกวันนี้ย่อมไม่พ้นประตูในนัดชิงชนะเลิศยูโร 88 ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประตูที่สวยงามสุดในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป

    โดยจังหวะดังกล่าวเพื่อนร่วมทีมครอสบอลโด่งไปที่เสาสองที่ดูเหมือนจะแรงเกินไปและเป็นมุมที่แคบมาก แต่เสี้ยววินาทีนั้นที่ไม่มีใครคาดคิด ฟาน บาสเทน กลับเลือกที่จะวอลเลย์จากมุมดังกล่าวส่งบอลโค้งผ่านมือ ดาซาเยฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีสุดในโลก ณ เวลานั้น เสียบเสาไกลไปอย่างน่าเหลือเชื่อ และกลายเป็นประตูที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในศึกศึกฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปมาจนถึงทุกวันนี้

    ทั้งนี้ ยูโร 1988 คือการแข่งขันระดับทัวร์นาเมนต์ครั้งเดียวที่ เนเธอร์แลนด์ ไปได้ไกลถึงการเป็นแชมเปี้ยน

  • โฆษณา
  • Marco Van Basten - Ajax LegendGoogle

    จุดเริ่มต้นกับ อาแย็กซ์

    มาร์โก ฟาน บาสเทน เกืดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1964 ที่เมืองอูเทรคท์ ความหลงไหลในฟุตบอลถ่ายทอดมาจากคุณพ่อของเขาที่สอนให้เขาเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็ก ส่วนที่เหลือมาจากความมุ่งมั่นและพรสวรรค์

    เมื่ออายุ 6 ขวบ เขาเริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลกับทีม เอโด (1970-1971) ก่อนจะย้ายไป UVV (1971-1980) และ เอลิงก์ไวก์ (1980/81) ซึ่งล้วนเป็นสโมสรในบ้านเกิดของเขา

    เขามักต้องเล่นกับเด็กที่อายุมากกว่า ส่วนใหญ่จะพยายามหยุดเขาด้วยวิธีรุนแรงแต่มันไร้ประโยชน์ เพราะเขายังคงยิงประตูได้มากมาย จนเมื่ออายุ 16 ปี เขาได้เข้าร่วมกับทีมเยาวชนของ อาแย็กซ์ และได้ก้าวขึ้นไปเล่นทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปีครึ่ง

    ฟาน บาสเทน ถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทน โยฮัน ครัฟฟ์ ผู้ที่ภายหลังกลายเป็นโค้ชที่มีส่วนสำคัญกับชีวิตของเขา และกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความยิ่งใหญ่ โดยเขายิงไป 152 ประตูจาก 172 เกม คว้าแชมป์ดัตช์คัพ 3 สมัย, แชมป์ลีก 3 สมัย และแชมป์ คัพ วินเนอร์ คัพ ในฤดูกาล 1986-87 ซึ่งแน่นอนว่าเขาทำประตูในนัดชิงชนะเลิศได้ด้วย

    ในขณะที่รางวัลส่วนตัว เขาคว้าดาวซัลโวสูงสุดของลีกถึง 4 สมัย

  • Marco Van Basten Milan Ballon D'orPinterest

    สร้างตำนาน และคว้าบัลลงดอร์ที่มิลาน

    ช่วงเวลาที่อิตาลีกับ เอซี มิลาน ทำให้ ฟาน บาสเทน กลายเป็นนักเตะระดับตำนาน เขาคือตัวตัดสินเกมและกองหน้าในอุดมคติของโค้ชทุกคนบนโลก แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนจนต้องพันผ้าที่ข้อเท้าลงเล่นอยู่ตลอด แต่ไม่สามารถหยุดยั้งความมหัศจรรย์ของเขาได้

    3 สคูเด็ตโต้ (1987/88, 1991/92, 1992/93), 2 ซูเปอร์คัพอิตาลี (1988 และ 1992), 2 ยูโรเปี้ยนส์คัพ/แชมเปี้ยนส์ลีก (1988/89 และ 1989/90), 2 ซูเปอร์คัพยุโรป และ 2 คัพอินเตอร์คอนติเนนตัล (1989 และ 1990)

    แม้จะไม่ได้ลงสนาม แต่เขายังคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้เพิ่มได้อีก (1993/94) และซูเปอร์คัพอิตาลี 2 สมัย (1993 และ 1994)

    นอกจากนี้ เขายังครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของ เซเรีย อา 2 สมัย (1989/90 และ 1991/92) รวมถึงการประกาศศักดาความเป็นสุดยอดนักเตะแห่งยุคด้วยการคว้าบัลลงดอร์ถึง 3 สมัย (1988, 1989, 1992) อีกด้วย

  • Marco Van BastenGetty

    ผลงานในชุดอัศวินสีส้ม

    ฟาน บาสเทน ต้องพลาดการลงเล่นให้กับทีมชาติเนเธอร์แลนด์อยู่บ่อยครั้งเนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าที่ต้องผ่าตัด และส่งผลกระทบกับชีวิตค้าแข้งของเขาโดยตลอด

    ในศึกฟุตบอลยูโร 88 คือจุดสูงสุดของเขาในการรับใช้อัศวินสีส้ม ด้วยการคว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเม้นท์ ซึ่งมาจากการทำแฮตทริคใส่อังกฤษ, 1 ประตูกับเยอรมันตะวันตก รวมถึงประตูมหัศจรรย์ในนัดชิงชนะเลิศกับสหภาพโซเวียต ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ

    อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นผลงานของขุนพลดัตช์กลับไม่ดีอย่างที่ถูกคาดหวังในยูโร 1992 ในขณะที่ฟุตบอลโลกปี 1990 อาการเจ็บที่ข้อเท้าทำให้ฟอร์มของ ฟาน บาสเทน ต่ำกว่ามาตรฐานไปมาก เรื่อยมาจนถึงฟุตบอลโลกปี 1994 เขาพยายามกัดฟันสู้กับความเจ็บปวดเพื่อช่วยทีมแต่ไม่เป็นผล จนเขายอมยกธงขาวและยุติเส้นทางกับทีมชาติไว้ที่สถิติ 24 ประตู จากการลงสนาม 58 นัด

  • Marco Van Basten Getty Images

    อาการบาดเจ็บที่น่าเสียดาย

    สิ่งที่หยุดยอดนักเตะอย่าง จิจี ริวา, โรนัลโด้ R9 รวมถึง ฟาน บาสเทน ไม่ใช่คู่แข่งแต่เป็นอาการบาดเจ็บ ในกรณีของดาวยิงชาวดัตช์เขาต้องเจอปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังที่ข้อเท้ารบกวนอยู่ตลอด ซึ่งการแพทย์ในสมัยนั้นไม่สามารถรักษาได้

    หลังจากคว้าบัลลงดอร์สมัยที่ 3 ในเดือนธันวาคมปี 1993 เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดข้อเท้าขวาครั้งที่ 3 (ครั้งที่ 2 เมื่อปี 1987) แต่การผ่าตัดครั้งนี้แทนที่จะทำให้เขากลับมาสมบูรณ์ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความยากลำบากและความเจ็บปวดที่ยาวนาน

    สุดท้ายแล้วเขาเลือกที่จะแขวนสตั๊ดในอีก 3 ปีต่อมา โดยที่ ฟาบิโอ คาเปลโล กุนซือของ มิลาน ถึงกับหลั่งน้ำตาในบรรยากาศวันนั้น มันชัดเจนว่าเขารู้สึกเหมือนสูญเสียมากกว่าจะยินดีที่จะไม่ได้เห็นยอดดาวยิงอย่าง ฟาน บาสเทน ลงเล่นฟุตบอลไปอีกตลอดกาล

  • Marco Van BastenGetty

    นักเตะที่แฟน มิลาน คิดถึง

    เอซี มิลาน และ แฟนบอล รอคอยการกลับมาลงสนามของเขาหลังเข้ารับการผ่าตัด มีการลองใช้วิธีทางเลือกอื่นไม่ว่าจะเป็นฝังเข็ม ไปจนถึงการใช้เวทมนตร์ จนกระทั่งวันที่ 18 สิงหาคมปี 1995 ทุกคนก็เหมือนใจสลาย ฟาน บาสเทน ประกาศแขวนสตั๊ดเพื่อเข้ารับการผ่าตัดรักษาข้อเท้าอีกครั้ง และมันคงทำให้เขากลับมาเล่นฟุตบอลไม่ได้แล้ว

    กองหน้าผู้สง่างามได้ยุติบทบาทในฐานะนักฟุตบอลอาชีพไปตลอดกาล แต่แฟนบอลยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ และ 11 ปี ผ่านไปหลังจากที่ ฟาน บาสเทน แขวนสตั๊ด ในวันที่ 15 มีนาคมปี 2006 สาวกปีศาจแดงดำมีโอกาสได้เห็นเขาลงสนามอีกครั้งในเกมอำลาสนามของ ดิเมทริโอ อัลแบร์ตินี

    ฟาน บาสเทน ในวัย 41 ปี ลงสนามเป็นตัวจริงโดยสวมเสื้อหมายเลข 9 โดยในนาทีที่ 11 เขายังแสดงสัญชาติญานความเป็นดาวยิงธรรมชาติด้วยการพุ่งโหม่งบอลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ใบหน้าและรอยยิ้มที่คุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง ทำให้แฟนบอลหลายรายถึงกลับร้องไห้กับช่วงเวลาที่พวกเขาคิดถึงมานาน เป็นการกลับคืนสนามที่ทุกคนเฝ้ารอคอย