Diego MaradonaGetty Images

Hall of Fame : ดิเอโก้ มาราโดนา - พระเจ้าแห่งฟุตบอลผู้ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้

ดิเอโก้ อาร์มันโด มาราโดนา คือหนึ่งในนักฟุตบอลผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาตร์ลูกหนังโลก วีรกรรมทั้งในและนอกสนามของเขาล้วนมีสเน่ห์และเป็นเรื่องเล่าที่ไม่รู้จบ

มาราโดนา เป็นที่รู้จักของคนทุกวงการทั่วโลก เขามีตัวตนอยู่ทั้งในหนังสือ, เพลง, ภาพยนต์, ภาพวาด, จิตรกรรมฝาผนังและรูปปั้น เขาเหมือนคนที่ท้าทายกฏฟิสิกส์ด้วยลูกฟุตบอล เมื่อทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หลายอย่างให้เกิดขึ้นได้ในสนาม

สำหรับคนหลายล้านคน โดยเฉพาะชนชั้นแรงงานในอาร์เจนตินา มาราโดนาเป็นมากกว่านักฟุตบอล ด้วยนิสัยดื้อรั้นของเขา เขากลายเป็นทั้งแรงบันดาลใจ, สัญลักษณ์แห่งความหวังและการต่อต้าน

และนี่คือชายที่พังหลักการของการเล่นกีฬา ด้วยการพิสูจน์แล้วว่าคนๆเดียวก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์ในการแข่งขันกีฬาประเภททีมได้

  • BIO-MARADONA-BALLAFP

    เทพผู้แบกทีม

    สิ่งที่ทำให้ มาราโดนา ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับเพื่อนร่วมทีมและแฟนบอล ว่าหากมีเขาอยู่ในสนามสิ่งที่ไม่เคยกล้าคิดฝันก็อาจจะทำสำเร็จได้

    แน่นอนว่าในวงการฟุตบอลอาจมีนักเตะที่มีความเป็นผู้นำอยู่มากมาย แต่ไม่มีใครทำได้เหมือน มาราโดนา ที่เคยถูกเปรียบว่าเป็นเหมือน 'Atlas' ไททันในตำนานกรีกที่ถูกลงโทษให้แบกท้องฟ้าไว้บนบ่า ซึ่งเขาไม่ได้ทำให้เห็นเพียงครั้งเดียว แต่ทำให้เห็นจนชินตา

    เขาพยายามหลีกเลี่ยงกลุ่มมหาอำนาจในวงการฟุตบอลเพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มที่พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลง เขาเคยเล่นให้ บาร์เซโลนา แต่เป็นบาร์ซาที่แตกต่างจากที่เรารู้จักในวันนี้มาก เขาย้ายออกหลังจากอยู่กับทีมดังแห่งสเปนได้สองปี และมันคือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่เลือกย้ายไปอยู่กับทีมชื่อชั้นรองลงมาอย่าง นาโปลี ในช่วงเวลาที่กำลังรุ่งโรจน์ของตัวเอง

  • โฆษณา
  • Diego Maradona Napoli 1984Hulton Archive

    ตอบทุกคำถามด้วยฝีเท้า

    ก่อนที่ มาราโดนา ย้ายมา นาโปลี เมื่อปี 1984 สโมสรไม่เคยคว้าแชมป์ลีกอิตาลีได้เลย และกว่าจะได้แชมป์อีกครั้งหลังจากนั้นต้องใช้เวลานานมากกว่า 30 ปี

    โดยรวมแล้ว 'เสือเตี้ย' คว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ 2 สมัย, โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย และ ยูฟ่าคัพ 1 สมัย ในช่วงเวลา 7 ปีที่ค้าแข้งในถิ่นสตาดิโอ ซาน เปาโล (ปัจจุบันสนามเปลี่ยนไปใช่ชื่อ มาราโดนา) ทำไป 115 ประตูจาก 259  นัด แต่แชมป์และสถิติต่างๆ ยังบอกเล่าความยิ่งใหญ่ของเขาที่อิตาลีได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    มาราโดนา มีอิทธิพลอย่างมากในห้องแต่งตัว เขาเข้าถึงจิตใจของเพื่อนร่วมทีมและสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นในสโมสร เขาทำให้ทุกคนในทีมเชื่อว่าจะสามารถคว้าแชมป์ร่วมกันได้ ขอแค่เดินตามเขาไปลงสนามเท่านั้น และมันไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงแต่อย่างใด ทุกคำวิจารณ์ ทุกข้อสงสัย กลายเป็นเสียงชื่นชมและเสียงปรบมือด้วยฝีเท้าของเขา

  • Diego Maradona Napoli v Stuttgart UEFA Cup Final 2nd Leg 1989Hulton Archive

    ซูเปอร์สตาร์ของ เซเรีย อา

    วันแรกที่ มาราโดนา ย้ายมา นาโปลี มีแฟนบอลมากกว่า 70,000 มารอต้อนรับเขาที่สนาม ในตอนนั้นสโมสรเป็นเพียงทีมระดับกลางๆ ที่รอดพ้นการตกชั้นเพียงแต้มเดียวเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และมีนักเตะดาวรุ่งอยู่ในทีมมากว่านักเตะชื่อดัง

    ในขณะนั้น เซเรีย อา คือลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก มีทั้ง ยูเวนตุส ของ มิเชล พลาตินี, เอซี มิลาน ที่นำทัพโดย อาร์ริโก้ ซาคคี รวมถึง ซามพ์โดเรีย ที่มี จานลูก้า วิอัลลี และ โรแบร์โต้ มานชินี เป็นตัวชูโรง เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของบรรดาแข้งชั้นนำของโลก

    แต่ นาโปลี เป็นทีมเดียวที่เอาฝ่าด่านโหดทีมเหล่านั้นและก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ได้สองสมัยในช่วงปี 1984 - 1991 ทำไมน่ะเหรอ? คำตอบคือเพราะพวกเขามี ดิเอโก้ มาราโดนา อยู่ในทีม เขาคือคนที่เปล่งประกายที่สุดใน เซเรีย อา เวลานั้น ที่เต็มไปด้วยดาวดัง

    น่าเสียดายที่ความเครียดทางร่างกายและจิตใจที่ต้องตกอยู่ภายใต้ความสนใจตลอดเวลา ส่งผลกระทบให้ชีวิตนอกสนามของเขาเริ่มพังทลายลง โดยเขาถูกแบนถึง 15 เดือน จากผลตรวจโคเคนเป็นบวก ซึ่งเป็นสัญญานว่าช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของเขากับ นาโปลี กำลังจะจบลงแล้ว

  • Diego MaradonaGetty Images

    ใกล้เคียงคำว่า'สมบูรณ์แบบ'ที่สุด

    ช่วงเวลาในทีมชาติอาร์เจนตินาของ มาราโดนา ไม่ต่างกับที่สโมสรคือมีทั้งสุขและทุกข์ สาเหตุหลักๆก็เหมือนกันคือเขาได้รับการยกย่องอย่างมากไม่ต่างกับที่ นาโปลี ทำให้ทุกความสนใจจับจ้องมาที่เขาเมื่อกลับประเทศบ้านเกิด

    ด้วยพรสวรรค์อันน่าทึ่งทำให้เขาได้ประเดิมสนามกับทีมชาติด้วยวัยเพียง 16 ปี แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ใส่ชื่อดาวรุ่งรายนี้ในทีมชุดลุยฟุตบอลโลก 1978 แต่ เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ กุนซือทัพฟ้าขาวเวลานั้นมองว่า มาราโดนา ยังเด็กเกินไปที่จะลงเล่นในทัวร์นาเม้นท์ที่มีแรงกดดันสูง และเขาอาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

    ต่อมาในวัย 21 ปี มาราโดนา มีโอกาสติดทีมชาติไปลุยฟุตบอลโลก 1982 ที่สเปน แม้จะได้ลงเล่น 5 นัดโดยที่ไม่โดนเปลี่ยนตัวออก แต่ก็ไม่ใช่ทัวร์นาเม้นท์ที่น่าจดจำนักสำหรับเขา โดยในเกมที่แพ้ บราซิล เขาโดนไล่ออกจากสนามด้วย

    อย่างไรก็ตาม อีก 4 ปีต่อมา เขาเติบโตขึ้นและเปลี่ยนเป็นคนละคน อาร์เจนตินา อาจมีทีมที่ดูไม่แข็งแกร่งเท่าเมื่อ 4 ปีก่อนหากดูจากรายชื่อ แต่พวกเขามี มาราโดนา ในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์เต็มที่ทั้งร่างกายและจิตใจ

    ฟอร์มการเล่นของเขาในฟุตบอลโลก 1986 ใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เราจะมองหาได้จากนักเตะคนหนึ่ง เขามีส่วนร่วมกับ 10 ประตูจาก 14 ประตูในทัวร์นาเม้นท์ของ อาร์เจนตินา โดยเฉพาะประตูในเกมกับ อังกฤษ ทั้ง "The Hand of God" อันโด่งดัง และประตูจากการโซโล่เดี่ยวสุดมหัศจรรย์

    ไม่มีนักเตะคนใดมีอิทธิพลต่อทีมฟุตบอลหนึ่งทีมได้มากเท่า มาราโดนา ครั้งหนึ่ง ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ อดีตแข้งทีมชาติอังกฤษกล่าวไว้ว่า "ถ้า มาราโดนา เกิดที่โตรอนโต แคนาดา คงเป็นแชมป์โลกไปแล้ว"

  • FOOTBALL-WORLD CUP-USA-MARADONAAFP

    ช่วงแห่งความเสื่อมถอย

    มาราโดนา และ อาร์เจนตินา พยายามรักษาแชมป์โลกให้ได้ในฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี แม้จะเกือบทำสำเร็จ แต่ทีมดูอ่อนโรยไปกว่าเมื่อปี 1986 อย่างชัดเจน

    กัปตันทีมฟ้าขาวลงเล่นทัวร์นาเมนท์นั้นด้วยการมีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าติดตัว แต่เขายังพาทีมผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ เยอรมัน ได้ แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นทัพอินทรีเหล็กที่เป็นฝ่ายสมหวัง และเราได้เห็นน้ำตาของเขาหลังสิ้นเสียงนกหวีด

    มาราโดนา พาทีมชาติอาร์เจนตินากลับมาเล่นฟุตบอลโลกอีกครั้งในปี 1994 ด้วยความมุ่งมั่นแก้ตัวจากความผิดหวังเมื่อ 4 ปีก่อน และเหมือนทุกอย่างจะไปได้ดีเมื่อเขายิงประตูสุดสวยใส่ กรีซ ในรอบแบ่งกลุ่ม ระบายความอัดอั้นที่สะสมไว้ในช่วงถูกแบนจากการใช้สารกระตุ้น

    อย่างไรก็ตาม ความสุขนั้นอยู่ได้ไม่นานเมื่อ มาราโดนา ถูกตรวจพบสารกระตุ้น เอฟิดรีน ในร่างกายหลังจบการแข่งขันนัดที่สองในรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้เขาต้องถูกส่งตัวกลับประเทศและแบนจากการแข่งขันฟุตบอลทุกรายการอีกครั้งเป็นเวลา 15 เดือนเท่ากับคราวก่อน เหตุการณ์นี้ถือเป็นอีกหนึ่งมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา ที่นำไปสู่การสิ้นสุดการรับใช้ทีมชาติอาร์เจนตินาอย่างน่าเศร้า

  • FBL-ITA-NAPOLIAFP

    The GOAT

    มาราโดนา พัวพันกับเรื่องราวมากมาย เขาเคยตกจากจุดสูงสุดมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยละความพยายามที่จะกลับไปอยู่บนจุดนั้นอีกครั้ง แม้จะดูมีชีวิตที่สับสนวุ่นวาย แต่เขากลับกลายเป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างให้กับคนนับล้าน

    เขาเคยกล่าวว่า "ผมอยากเป็นแบบอย่างให้กับเด็กยากจนในเนเปิลส์ เพราะพวกเขาเหมือนกับผมตอนอยู่ที่บัวโนสไอเรส" และเขาก็ทำได้สำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างเมืองและผู้คน

    ในฐานะนักฟุตบอล เขาคือผู้สร้างความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแค่ระหว่างการแข่งขัน แต่รวมถึงก่อนการแข่งขันด้วย แม้ว่าจะเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก แต่เขาไม่เคยเห็นแก่ตัวและมุ่งมั่นที่จะทำให้คนรอบข้างเขาเก่งขึ้น

    หากพูดถึงคู่แข่งในการชิงตำแหน่งนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คนอาจพูดถึง เปเล่ ตำนานทีมชาติบราซิล เช่นเดียวกับ โยฮัน ครัฟฟ์, ลิโอเนล เมสซี รวมถึง คริสเตียโน โรนัลโด้

    เขาอาจยิงประตูได้น้อยกว่า, คว้าแชมป์ได้น้อยกว่าทุกรายชื่อที่กล่าวมา แต่สิ่งที่ทำให้ มาราโดนา โดดเด่นเหนือใครคือความสามารถในการนำทีมเล็กๆคว้าแชมป์ที่เหนือความคาดหมาย เป็นสิ่งที่ไม่มีใครทำได้จนถึงทุกวันนี้

    เขาไม่ได้เล่นให้ทีมที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เขาพาทีมสู้กับทีมที่แข็งแกร่งที่สุด และไม่ใช่แค่สู้แต่เอาชนะทีมเหล่านั้นได้ด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้รับการยกย่องว่าเป็น 'The GOAT'