Getty/Goalสันติภพ เหลืองอ่อน
RANK IT UP : ฆ่าไม่ตาย! 10 สุดยอดการคัมแบ็คบนเวที UCL
Getty10โมนาโก 3-1 เรอัล มาดริด (ประตูรวม 5-5, โมนาโกเข้ารอบด้วย อเวย์โกล)
รอบ 8 ทีมสุดท้ายของ UCL ปี 2004 เกมเลกแรก เรอัล มาดริด โชว์ฟอร์มเด็ดเปิด ซานติอาโก้ เบร์นาบิว ชนะ โมนาโก ไปได้ก่อน 4-2 แต่เป็น เฟร์นานโด มอริเอนเตส อดีตนักเตะเก่าทำประตูสำคัญในช่วงท้ายเกม ซึ่งส่งผลอย่างมากในเกมเลกสอง
เกมเลกสอง ราชันชุดขาว ทำท่าจะลอยลำเข้ารอบเมื่อ ราอูล กอนซาเลซ ยิงให้ทีมออกนำ 1-0 ซึ่งเจ้าบ้านต้องการถึง 3 ประตูเพื่อพลิกเข้ารอบ แต่ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นเมื่อ ลูโดวิช ชูลี 2 ยิงคนเดียวสองประตู และเป็น มอริเอนเตส คนเดิมที่ซัด 1 ประตู เขี่ยทีมเก่าของตัวเองตกรอบ
Getty9เปแอสเช 1-3 แมนฯยูไนเต็ด (ประตูรวม 3-3, แมนฯยูไนเต็ด เข้ารอบด้วย อเวย์โกล)
เกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย ในฤดูกาล 2018-19 แมนฯยูไนเต็ด ทำท่าจะหมดหวังเข้ารอบตั้งแต่จบเกมเลกแรกที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อพ่ายคารังต่อ เปแอสเช 0-2 แถม ปอล ป๊อกบา กองกลางตัวเก่งยังโดนใบแดงหมดสิทธิ์ลงสนามในเกมเลกสอง
แต่ปีศาจแดงทำเรื่องเหลื่อเชื่อได้สำเร็จเมื่อบุกชนะแชมป์ลีกเองถึงถิ่น 3-1 โดยประตูชัยมาจากจุดโทษบีบหัวใจในช่วงทดเวลาเจ็บของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ยิงผ่านมือ จานลุยจิ บุฟฟอน เข้าไป
Getty8เชลซี 4-1 นาโปลี ต่อเวลาพิเศษ (ประตูรวม 5-4)
รอบ 16 ทีมสุดท้าย 2012 เชลซี เกือบต้องจอดป้ายเพียงแค่นี้หลังบุกพ่าย นาโปลี ซึ่งมีสตาร์ดังอย่าง เอดิสัน คาวานี และ เอเซเกล ลาเวซซี ไปก่อนในเลกแรก 3-1
แต่เกมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ สิงห์บลูโชว์ความใจสู้บดเอาชนะ นาโปลี คืนได้ 3-1 จนต้องไปเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อนจะเป็น บลานิสลาฟ อิวาโนวิช ซัดประตูชัยให้ทีมพลิกเข้ารอบสำเร็จ และก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ในปีดังกล่าว
Getty7แมนฯยูไนเต็ด 2-1 บาเยิร์น มิวนิค
นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 1999 ภายใต้แฟนบอลกว่า 90,000 คนที่คัมป์นู มาริโอ บาสเลอร์ ยิงให้ บาเยิร์น ออกนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 6 และดูเหมือนว่าจะเป็นประตูชัยทำให้เสือใต้คว้าแชมป์ยุโรปครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1976
90 นาทีจบลง เข้าสู่ช่วงทดเวลาเจ็บ เท็ดดี เชอร์ริงแฮม มายิงตีเสมอให้ แมนฯยูไนเต็ด และเกมทำท่าจะต้องไปตัดสินในช่วงต่อเวลาพิเศษ
แต่แล้วไม่กี่วินาทีต่อมา ปีศาจแดง ได้เตะมุม เดวิด เบ็คแฮม เปิดไปให้ เชอร์ริงแฮม โหม่งต่อให้ โอเล กุนนาร์ โซลชา ซัดเสยเพดานตาข่ายเข้าไปอย่างเด็ดขาด ช่วยให้ทีมพลิกคว้าแชมป์อย่างเหลือเชื่อ

6เดปอร์ดิโบ ลา คอรุนญา 4-0 เอซี มิลาน (ประตูรวม 5-4)
รอบ 8 ทีมสุดท้ายปี 2004 เอซี มิลาน ที่มีดาวดังอย่าง ริคาร์โด้ กาก้า, อังเดร เชฟเชนโก้ และ อันเดรีย ปีร์โล เอาชนะไปก่อนในเลกแรกด้วยสกอร์ถึง 4-1 และคงไม่มีใครกล้าคิดแน่นอนว่าจะเกิดเรื่องสุดช็อคขึ้นในเกมเลกสองที่สเปน
แต่แล้ว"ซูเปอร์เดปอร์"ทำเรื่องสุดเหลือเชื่อขึ้น เมื่อเปิดรังเอาชนะ มิลาน คืนได้ในเกมเลกสอง 4-0 พลิกเข้ารอบแบบปาฏิหาริย์ด้วยประตูรวมสองนัด 5-4
Getty5โรมา 3-0 บาร์เซโลนา (ประตูรวม 4-4)
ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายปี 2018 โรมา ต้องโคจรมาพบกับยอดทีมแห่งยุคอย่าง บาร์เซโลนา และพ่ายไปอย่างขาดลอยในเกมเลกแรกที่ คัมป์นู 4-1 ทำให้ความหวังในการเข้ารอบเลือนลางเต็มที
แต่เกมเลกสองกรุงโรมก็กระหึ่มไปด้วยเสียงเชียร์เมื่อทัพหมาป่าไลต้อน อาซูลกรานา แบบสุดมัน ก่อนเอาชนะไปได้ 3-0 รวมสองนัดประตูรวม 4-4 ผ่านเข้ารอบด้วยกฏอเวย์โกล
Getty4อาแย็กซ์ 2-3 สเปอร์ส (ประตูรวม 3-3, สเปอร์สเข้ารอบด้วย อเวย์โกล)
รอบรองชนะเลิศในปี 2019 อาแย็กซ์ กุมความได้เปรียบไว้ก่อนในเลกแรก เมื่อบุกเอาชนะ สเปอร์ส ถึงลอนดอน 1-0 ทำให้ลูกทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน ต้องเจองานหนัก
เกมเลกสองทำท่าจะเป็นงานง่ายของ อาแย็กซ์ เมื่อขึ้นนำก่อน 2-0 ในครึ่งแรก ทำให้สเปอร์สต้องการถึง 3 ประตูในครึ่งหลังเพื่อเข้ารอบ
และเรื่องน่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อ ลูคัส มูรา ซัดแฮตทริค ช่วยให้ไก่เดือยทองพลิกเข้ารอบได้สำเร็จ โดยประตูชัยเกิดขึ้นในช่วงทดเวลาเจ็บนาทีที่ 5
Getty3ลิเวอร์พูล 4-0 บาร์เซโลนา (ประตูรวม 4-3)
รอบรองชนะเลิศปี 2019 บาร์เซโลนา อาจคิดว่าภารกิจของเขาเสร็จสิ้นแล้ว หลังเปิดรัง คัมป์นู เอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปได้ก่อนถึง 3-0
เกมเลกสอง หงส์แดง ไม่มีแข้งหลักอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน ที่ยังบาดเจ็บ แต่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ โชว์ฟอร์มสุดดุดันไล่ถล่มยอดทีมแห่งสเปนได้ขาดลอย 4-0 พลิกผ่านเข้ารอบไปอย่างปาฏิหาริย์ด้วยประตูรวม 4-3 และก้าวไปถึงแชมป์ในปีดังกล่าวด้วย
Getty2บาร์เซโลนา 6-1 เปแอสเช (ประตูรวม 6-5)
ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายปี 2017, บาร์เซโลนา สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อกลายเป็นทีมแรกที่ผ่านเข้ารอบ จากการตกเป็นรองก่อนถึง 4 ประตูในเกมเลกแรก
เลกแรกทัพอาซูลกรานาพ่าย เปแอสเช ขาดลอยถึง 4-0 ที่ฝรั่งเศส จนโดนสื่อมวลชนของสเปนวิจารณ์อย่างหนักและไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะกลับมาเข้ารอบได้ แต่ในเลกสองความหวังเริ่มมีอยู่บ้างเมื่อเป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน 2-0 ในครึ่งเวลาแรก
ครึ่งหลังบาร์ซาได้ประตูที่ 3 จากจุดโทษของ ลิโอเนล เมสซี และทุกอย่างเหมือนจะกลับมาเข้าทางเจ้าถิ่น แต่แล้ว เอดิสัน คาวานี่ มายิงตีไข่แตกให้ทีมเยือน ซึ่งทำให้เจ้าถิ่นต้องยิงอีก 3 ประตูจึงจะผ่านเข้ารอบได้
เนย์มาร์ ซัดฟรีคิกสุดสวยให้ บาร์ซา ไล่ตามเป็น 4-1 และเข้าสู่ช่วงทดเวลา 5 นาที ดาวยิงชาวบราซิลมาบวกเพิ่มอีกหนึ่งประตูเป็น 5-1 ซึ่งยังไม่เพียงพอ จนช่วงทดเวลานาทีสุดท้าย เซร์กี้ โรเบร์โต้ หลุดกำดักล้ำหน้าเข้าไปซัดประตูทำให้ บาร์ซา เข้ารอบไปแบบปาฏิหาริย์
Getty1เอซี มิลาน 3-3 ลิเวอร์พูล (ลิเวอร์พูลชนะยิงจุดโทษ 3-2 )
นัดชิงชนะเลิศปี 2005 แชมป์ดูเหมือนจะอยู่ในมือของ เอซี มิลาน แน่นอนแล้วหลังขึ้นนำถึง 3-0 ในครึ่งแรก จากกสองประตูของ เฮอร์นัน เครสโป และอีกหนึ่งประตูจาก เปาโล มัลดินี จนแฟนหงส์หลายรายถึงขั้นปิดทีวีนอนแล้ว
แต่ครึ่งหลังกลายเป็นหนังคนละม้วนเมื่อทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ ลงสนามมาอย่างดุดันและได้ 3 ประตูรวดภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จาก สตีเฟน เจอร์ราร์ด, วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ และการซ้ำจุดโทษของ ชาบี อลอนโซ จบ 90 นาที เสมอกัน 3-3 และช่วงต่อเวลาพิเศษยังไม่มีฝ่ายใดทำประตูได้ ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ
และเป็น ลิเวอร์พูล ที่ยิงได้แม่นกว่าเอาชนะไปและคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ
โฆษณา