12 เหตุการณ์เปลี่ยนแมนเชสเตอร์จากสีแดงเป็นสีฟ้า

เมื่อปี 2008 ชีค มันซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน และกลุ่มทุนจากอาบูดาบี ทุ่มเงินจำนวน 210 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อหุ้น 90% ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และกลายเป็นเจ้าของทีมคนใหม่แทน ดร.ทักษิณ ชินวัตร

และในวันเดียวกับที่มีการประกาศเทคโอเวอร์ เรือใบสีฟ้าก็ได้เซ็นสัญญากับ โรบินโญ มาจากเรอัล มาดริด กลายเป็นดีลสุดเซอร์ไพรส์ในตลาดซัมเมอร์ของปีนั้นด้วย

โรบินโญ อาจเป็นการเซ็นสัญญาที่น่าดึงดูดใจ แต่การเข้าสู่ยุคใหม่ของซิตี้อย่างแท้จริง คือการไปกระชากตัว คาร์ลอส เตเวซ มาจากฝั่งยูไนเต็ด

เตเวซ เป็นขุนพลสำคัญตลอดช่วงปี 2007-2009 ที่ค้าแข้งกับปีศาจแดง ทว่าด้วยปัญหาที่มีเอเยนต์ส่วนตัวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นักเตะ ทำให้เขาไม่ได้เซ็นสัญญาถาวรในฝั่งสีแดง

กระทั่งกลายเป็นฝั่งสีฟ้าที่ตัดสินใจจ่ายค่าฉีกสัญญาจากเอเยนต์เพื่อคว้า เตเวซ มาร่วมทัพแบบเต็มตัว และกลายเป็นประเด็นคือพวกเขาตัดสินใจขึ้นป้ายบิลบอร์ดกลางเมืองเปิดตัวดีลนี้ว่า "ยินดีต้อนรับสู่แมนเชสเตอร์" (Welcome to Manchester)

ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ยิงประตูเฉลี่ยทุก ๆ สองเกมให้ซิตี้ และยังเป็นดาวซัลโวของทีมช่วงสองฤดูกาลแรก โดยเฉพาะในฤดูกาลที่สองซึ่งพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ กลายเป็นการกลับมาได้โทรฟี่ระดับเมเจอร์ในรอบ 35 ปีของสโมสรด้วย

ยูไนเต็ดไม่แพ้ในดาร์บี้แมตช์มา 4 ฤดูกาลติดต่อกัน ก่อนจะพบซิตี้ในเดือนตุลาคมเมื่อปี 2011

กระทั่งปีศาจแดงต้องมาปราชัยคาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แบบยับเยินถึง 1-6 จนกลายเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่สุดของซิตี้เหนือยูไนเต็ดนับตั้งแต่ปี 1926 และเป็นความพ่ายแพ้ที่เลวร้ายที่สุดของปีศาจแดงในยุคพรีเมียร์ลีก ณ เวลานั้นด้วย

ยูไนเต็ดกำลังจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2011/12 หลังบุกไปชนะซันเดอร์แลนด์ในเกมสุดท้าย 1-0 ขณะที่ซิตี้ยังตามหลังควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส 1-2

แต่แล้ว เอดิน เชโก้ ก็มาโหม่งตีเสมอให้เรือใบสีฟ้า 2-2 ตามด้วยต่อด้วยก็ได้เกิดหนึ่งในประตูสุดคลาสสิคตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก โดยการยิงของ เซร์คิโอ อเกวโร ช่วยให้ซิตี้แซงชนะ 3-2 ผงาดคว้าแชมป์ลีกมัยแรกในยุคพรีเมียร์ลีก

หลังจากพายูไนเต็ดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 13 บรมกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ประกาศวางมือจากการคุมทีมในเดือนพฤษภาคมเมื่อปี 2013

และนับตั้งแต่เฟอร์กี้วางมือไป ปีศาจแดงก็ยังไม่เคยก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกเลย

เมื่อทาง ชีคมันซูร์ เข้ามาเทคโอเวอร์ซิตี้ สิ่งแรกที่เขาทำคือการสั่งปรับปรุงสนามซ้อมของสโมสรแบบขนานใหญ่ให้มีความทันสมัยมากขึ้น

เรือใบสีฟ้าเปิดตัว "ซิตี้ ฟุตบอล อคาเดมี" ในปี 2014 ด้วยทุนสร้างถึงกว่า 200 ล้านปอนด์ ซึ่งกลายมาเป็นแหล่งบ่มเพาะดาวรุ่งชั้นดีมากมายทั้งที่ย้ายออกไปแล้วอย่าง เจดอน ซานโช, โคล พาลเมอร์ รวมถึงที่ยังอยู่กับสโมสรในปัจจุบันอย่าง ฟิล โฟเด้น, ริโก้ ลูอิส

ซิตี้ เล็งคว้าตัว เป๊ป กวาร์ดิโอลา มาตั้งแต่ในปี 2012 โดยเริ่มจากไปดึงอดีตเพื่อนร่วมงานที่บาร์เซโลนาอย่าง ซิกิ เบกิริสไตน์ และ เฟร์ราน โซเรียโน มาเป็นผู้อำนวยการด้านกีฬาและผู้บริหารระดับสูงของสโมสรตามลำดับ และแม้ว่า เป๊ปจะตกลงย้ายไปบาเยิร์น มิวนิคล่วงหน้าในปี 2013 ไปแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายก็มีสัญญาใจกันไว้ว่าจะรอกันและกันต่อไป

ท้ายที่สุด เป๊ป ก็ได้มารับงานในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยมจริง ๆ ในปี 2016 และพาสโมสรคว้าแชมป์ไปแล้วถึง 15 รายการ ในช่วงเวลา 7 ปี

หลังจากมือเปล่าในการคุมซิตี้ฤดูกาลแรก ทว่าในฤดูกาลที่สอง เป๊ป ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ และที่สำคัญคือกลายเป็นทีมแรกที่เก็บได้ถึง 100 แต้มอีกด้วย เมื่อฤดูกาล 2017/18

การคุมทีมยูไนเต็ดในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นัดสุดท้ายของ โอเล กุนนาร์ โซลชา คือการแพ้ให้แก่ซิตี้ 0-2 เมื่อเดือนพฤศจิกายนในปี 2021

ทีมของ กวาร์ดิโอลา ครองบอลได้ถึง 67% ผ่านบอลไปถึง 832 ครั้ง มากกว่าฝั่งยูไนเต็ดถึง 400 ครั้ง และมีโอกาสยิง 16 ครั้ง มากกว่าฝั่งยูไนเต็ด 5 ครั้ง ถือเป็นการเอาชนะปีศาจแดงได้อย่างเต็มรูปแบบอย่างแท้จริง

โอเล กุนนาร์ โซลชา เคยร่วมงานกับ เออร์ลิง ฮาลันด์ มาตั้งแต่อยู่ที่โมลด์ และเคยพยายามโน้นน้าวให้ปีศาจแดงคว้าตัวไปเสริมทัพ

ทว่าสุดท้ายในปี 2022 ฮาลันด์ตัดสินใจไปเซ็นสัญญากับซิตี้ ด้วยค่าตัว 52 ล้านปอนด์ ก่อนระเบิดฟอร์มกดไปถึง 51 ประตู จาก 52 เกมในฤดูกาลแรก พาเรือใบสีฟ้าผงาดคว้าสามแขมป์อย่างยิ่งใหญ่

ซิตี้ทำได้เหมือนกับยูไนเต็ดเคยทำเมื่อฤดูกาล 1998/99 ด้วยการเป็นทีมที่สองของอังกฤษที่ผงาดคว้าเทรเบิ้ลแชมป์ในฤดูกาล 2022/23

นี่คือบทพิสูจน์แล้วว่า ณ เวลานี้ แมนเชสเตอร์กลายเป็นสีฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ

สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ประกาศสนามเจ้าภาพสำหรับยูโร 2028 ในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ โดยที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ได้รับเลือก ทว่า โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด กลับหลุดโผ

ยูไนเต็ดยังคงอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับสนามแห่งนี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของสโมสร ส่วนฝั่งของซิตี้ได้อนุมัติการขยายพื้นที่ซึ่งจะเพิ่มความจุเป็น 62,000 คนภายในปี 2026 และคืออีกหนึ่งสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงอำนาจในแมนเชสเตอร์อย่างแท้จริง