ใครเด่น ใครดับ? ฟุตบอล ยูโร 2020 (วันที่ 7)

แนวรุกจากเวสต์แฮม ถือเป็นตัวความหวังของยูเครนในทัวร์นาเมนต์นี้อย่างแท้จริง ด้วยการเป็นผู้ทำประตูขึ้นนำ 1-0 ซึ่งถือเป็นการยิงสองนัดติดต่อกันในศึกยูโร 2020 อีกด้วย รวมถึงยังเป็นคนจ่ายให้ โรมัน ยาเรมชุค ทำประตูนำ 2-0 กระทั่งสุดท้ายยูเครนก็เฉือนชนะมาซิโดเนียเหนือไปได้ 2-1

ในขณะที่ โกรัน ปานเดฟ คอยใช้ความเก๋าเล่นงานแนวรับของยูเครน ทว่าคู่ขาในแดนหน้าอย่าง เอลิฟ เอลมาส กลับทำผลงานได้ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันนัก ซึ่งอาจจะเป็นด้วยวัยเพียงแค่ 21 ปี ซึ่งถือว่ายังอ่อนประสบการณ์กับเกมใหญ่ในระดับนี้

จอมทัพจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกสตาร์ทเกมนี้โดยมีชื่อเพียงบนม้านั่งสำรองเท่านั้นด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย แต่ด้วยสถานการณ์ที่ทีมตามหลังทำให้ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ต้องส่งเขาลงมาตั้งแต่ต้นครึ่งหลังก่อนที่เขาจะโชว์คลาสระดับโลกด้วยการยิงหนึ่งประตูกับหนึ่งแอสซิสต์ช่วยทีมแซงกลับมาเอาชนะได้สำเร็จ

แนวรุกตัวเก๋าจาก นาโปลี ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้กับทีมเบลเยียมในเกมนี้ แต่ทว่าหลังจากทีมโดนประตูออกนำเร็วตั้งแต่ 2 นาทีแรก ทำให้ทีมมีปัญหาในการเล่นเกมบุก ซึ่ง เมอร์เทน แทบจะไม่ได้เล่นกับบอลและแทบไม่มีโอกาสสร้างสรรค์เกมบุกหรือลุ้นทำประตูให้กับทีมได้เลย ก่อนโดนเปลี่ยนตัวออกไปในช่วงพักครึ่ง

การได้กองหลังจาก ยูเวนตุส ซึ่งนัดแรกได้พักเพราะยังไม่ฟิตสมบูรณ์ กลับมาช่วยทีมอีกครั้ง ส่งผลให้เกมรับของเนเธอร์แลนด์ดูเหนียวแน่นขึ้นมากกว่าเดิม เมื่อเขาแสดงให้เห็นถึงคลาสบอลระดับท็อป ที่ใช้การอ่านเกมคอยสกัดบอลจังหวะสำคัญได้ตลอด และหากว่าทัพอัศวินสีส้มอยากจะไปถึงฝั่งฝัน ก็ต้องหวังให้สภาพร่างกาย เดอ ลิกต์ นั้นสามารถยืนระยะได้ตลอดทัวร์นาเมนต์นี้

การถูกจับไปยืนตำแหน่งเป็นกองหลังตัวสุดท้ายในระบบหลังสาม ดูจะฝืนธรรมชาติการเล่นดาวเตะตัวใหม่ของเรอัล มาดริดอยู่ไม่น้อย เพราะส่งผลให้เขาไม่สามารถแสดงศักยภาพออกมาช่วยออสเตรียได้อย่างที่ควรจะเป็น แถมยังก่อความผิดพลาดไปทำฟาวล์จนทีมเสียจุดโทษและเสียประตูเร็วตั้งแต่ต้นเกมด้วย