GoalGoal
เกิดใหม่ในร่างเทพ : 12 อดีตแข้งนอกสายตาสู่ดาวดังไทยลีก

ศศลักษณ์ ไหประโคน
แข้งวัย 24 ปี หอบสตั๊ดเดินทางจากอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ มุ่งสู่เมืองหลวงเพื่อล่าฝันนักฟุตบอลอาชีพ โดยเข้าคัดตัวกับโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ก่อนจะได้โอกาสบ่มเพาะฝีเท้า และเข้าเป็นแข้งอคาเดมี แบงค็อก ยูไนเต็ด สมใจ
ทว่าหลังเข้าสู่เส้นทางอาชีพเต็มตัว ชีวิตบนถนนลูกหนังกลับเต็มไปด้วยอุปสรรค...
ศศลักษณ์ จัดเป็นดาวรุ่งน่าจับตามองมีทั้งความเร็ว ทักษะคล่องแคล่ว และหัวใจนักสู้ เขาถูกดันขึ้นสู่ชุดใหญ่ครั้งแรกในฤดูกาล 2014 แต่ด้วยวัย และประสบการณ์ที่ยังน้อย จึงไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากนัก จบซีซั่นแรกเขาลงเล่นไปเพียงเกมเดียวเท่านั้น
เข้าสู่ฤดูกาล 2015 ศศลักษณ์ ได้ลงสนามมากขึ้น แต่ก็ลงเล่นในลีกไปเพียง 6 เกม แบ่งเป็นตัวจริง 2 สำรอง 4 เช่นเดียวกับปีถัดมาที่ต้องเผชิญชะตากรรมไม่ต่างกัน ส่วนใหญ่เขาทำได้เพียงมองเพื่อนร่วมทีมอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง ขณะที่ปี 2017 แม้มีโอกาสบินไปทดสอบฝีเท้ากับ เอฟซี โตเกียว เพื่อลุ้นค้าแข้งที่ญี่ปุ่น นับเป็นการก้าวกระโดด และโอกาสที่ดีที่ได้เก็บประสบการณ์บนลีกที่ดีที่สุดของเอเชีย ทว่าสุดท้ายหลังซ้อมกับทีม 10 วัน สโมสรเลือกเซ็นสัญญากับ จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ ที่ไปทดสอบฝีเท้าพร้อมกันแทน ส่วนเขาต้องกลับมานั่งสำรองกับ “แข้งเทพ” ต่อไป
หลังกลับจากญี่ปุ่น ศศลักษณ์ ไม่ได้ลงสนามให้ทีมตลอดเลกแรก เขาเป็นเพียงแข้งสำรองที่ มาโน โพลกิ้ง ไม่ได้ใช้งาน แต่แล้ว บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แดนอีสานยังเชื่อมั่นศักยภาพในตัวเขา ก่อนจัดการยืม ศศลักษณ์ กลับมารับใช้ทีมบ้านเกิดในเลกสองของฤดูกาล 2017
ทันทีที่ย้ายมาร่วมทัพ “ปราสาทสายฟ้า” เขาเหมือนเกิดใหม่เป็นคนละคน จากปีกความเร็วสูง โยกมารับบทวิงแบ็คฝั่งซ้าย ศศลักษณ์ ค่อยๆแสดงศักยภาพออกมาจนสามารถเอาชนะใจ โบซิดาร์ บันโดวิช กุนซือของทีม และมอบหมายให้เขาประจำการกราบซ้ายเต็มตัว พร้อมกับผลงานสุดโดดเด่น กระทั่งมีส่วนสำคัญพาทีมคว้าแชมป์โตโยต้า ไทยลีก ในปีนั้นมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
หลังจบฤดูกาล 2017 บุรีรัมย์ ยื่นซื้อขาดเขาทันที นับเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปอย่างสิ้นเชิง กราฟชีวิตยังคงพุ่งทะยานต่อเนื่อง เพราะหลังจากนั้นไม่นานเขาถูกเรียกติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่ครั้งแรกในยุคของ มิโลวาน ราเยวัช เฮดโค้ชชาวเซอร์เบีย และยังคงรกษามาตรการเล่นได้ดีจนถึงวันนี้

พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี
ไม่มีใครสงสัยในฝีเท้าของเขา พีรดนย์ โดดเด่นกับ จามจุรี ยูไนเต็ด ทีมระดับวิชั่น 2 ในเวลานั้น จนไปเตะตา เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่ โตโยต้า ไทยลีก ที่ตัดสินใจคว้าตัวมาร่วมทัพในฤดูกาล 2015
หลังย้ายมาไม่นานเขากลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นชุดคว้าแชมป์โตโยต้า ไทยลีก ฤดูกาล 2016 อย่างไรก็ตามในปีนั้น “กิเลนผยอง” ยังอยู่ในยุคที่อุดมไปด้วยยอดแข้งมากมาย แม้ฝีเท้าของเขาจะยอดเยี่ยม แต่ก็ยากจะเบียดตำแหน่งลงสนาม ที่สุดแล้วเขาลงเล่นไปเพียง 8 เกม โดยเป็นตัวจริงเพียง 2 นัด เท่านั้น
เขาไม่ใช่ตัวเลือกแรกในแผงมิดฟิลด์ของทีม ส่งผลให้ฤดูกาลถัดมาถูกปล่อยให้ พัทยา ยูไนเต็ด(สมุทรปราการซิตี้ ในปัจจุบัน) ยืมใช้งาน ด้วยโอกาสลงสนามที่มากขึ้นทำให้เขามีเวลามากพอที่จะแสดงฝีเท้าของตัวเองออกมาด้วยผลงาน 7 ประตู 2 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 30 นัด ก่อนต่อมาในฤดูกาล 2018 จะตัดสินใจย้ายจาก เมืองทองฯ ไปอยู่กับ พัทยา ยูไนเต็ด ด้วยสัญญา 4 ปี
“พัทยา อาจไม่ใช่ทีมใหญ่ แต่ผมว่า เป็นทีมที่มีอนาคตที่สำคัญเรากำลังเติบโตไปข้างหน้าด้วยผู้เล่นดาวรุ่ง สักวันหนึ่งผมเชื่อว่า ผมมีโอกาสคว้าแชมป์หรือประสบความสำเร็จกับที่นี่ได้เหมือนกัน” พีรดนย์ กล่าวในวันที่ย้ายไปอยู่กับ “โลมาน้ำเงิน” ถาวร
ที่แห่งนี้เขาเปลี่ยนจากแข้งสำรองสู่ยอดมิดฟิลด์คนสำคัญลงเล่นต่อเนื่อง กระทั่งได้รับฉายา “เจ้าชายโลมา” จากแฟนบอล ปัจจุบันเขายังคงสวมปลอกแขนกัปตันทีมพาต้นสังกัดไล่ล่าถ้วยแชมป์ต่อไป...

อานนท์ อมรเลิศศักดิ์
ครั้งหนึ่งเขาคือดาวรุ่งที่แฟนบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต่างเสียดายในฝีเท้า หลังไม่สามารถแย่งตำแหน่งในทีมก่อนถูกปล่อยไปเล่นกับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด…
ฝีเท้าของเขายืนหนึ่งในนักเตะรุ่นราวคราวเดียวกันด้วยสไตล์ที่จี๊ดจ๊าดเกินวัย คล่องแคล่ว ทักษะส่วนตัวสูงอีกทั้งยังมีความเร็ว จัดว่าเป็นผู้เล่นที่ค่อนข้างครบเครื่องคนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น อานนท์ ยังไม่ดีพอสำหรับ “ปราสาทสายฟ้า” ซึ่งเต็มไปด้วยบรรดาผู้เล่นคุณภาพมากมาย ส่วนใหญ่เขามักถูกส่งลงเล่นช่วงท้ายเกมเท่านั้น
ฤดูกาล 2018 อานนท์ ลงสนามให้ บุรีรัมย์ ไปเพียงนัดเดียวก่อนที่เลกสองจะถูกปล่อยให้ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ยืมใช้งาน เขาใช้เวลาปรับตัวไม่นานงัดฟอร์มเก่งทันที โดยขยับมารับบทจอมทัพเต็มตัว ซึ่งหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ช่วยให้เขามีผลงานดีคือ ลงเล่นภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด ที่มีคู่มือใช้งาน หลังเป็นผู้ปลุกปั้นแข้งรายนี้ตั้งแต่คุมทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี
เพียงช่วงเวลาครึ่งเลกในถิ่น ลีโอ สเตเดียม อานนท์ ทำผลงานได้เปรี้ยงปร้าง เขากลายเป็นกองกลางคนสำคัญ ‘เดอะ แรบบิท” ด้วยผลงาน 3 ประตู 4 แอสซิสต์ จาก 15 เกม พร้อมพาทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ โตโยต้าลีก คัพ ครั้งแรก
ช่วงเวลาสั้นๆกับ “เดอะ แรบบิท” อานนท์ พิสูจน์ฝีเท้าให้เห็นว่า เขาไม่ใช่ดาวรุ่งตัวสำรองอีกต่อไป แต่เป็นผู้เล่นที่พร้อมลงสนามในฐานะกำลังหลักของทีมทุกเมื่อ ก่อนต่อมา ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด จะสร้างความฮือฮากระชากเขาไปร่วมทัพทันทีในฤดูกาล 2019
อานนท์ ยังสานต่อฟอร์มเก่งรักษามาตรฐานได้ดีเขายิงไป 5 ประตู 3 แอสซิสต์ จาก 27 เกม จนถึงเวลานี้เขายังคงเป็นกำลังหลักของ “แข้งเทพ” ที่ได้โอกาสลงเล่นสม่ำเสมอ

พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล
เขาถูกมองว่า เป็นของดีที่น่าเสียดายหลัง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ปล่อยเพชรเม็ดงามไปให้ สิงห์ เชียงราย เมื่อฤดูกาล 2017
พิธิวัตต์ เป็นผลผลิตจากอะคาเดมี “กิเลนผยอง” ในเวลานั้นฝีเท้าของเขาโดดเด่นไม่แพ้ใคร แต่โอกาสลงเล่นให้ต้นสังกัดแทบไม่มี กระทั่งปี 2016 ถูกปล่อยให้ บีอีซี เทโรศาสน ยืมใช้งาน ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเพราะทำให้ดาวรุ่งชาวระยองได้มีพื้นที่แสดงฝีเท้าเต็มที่ เขาเล่นได้แข็งแกร่งดุดันผ่านบอลแม่นยำ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกายเสมอจนมีรูปร่างกำยำพร้อมเอาชนะคู่แข่งทุกเมื่อยามอยู่ในสนาม
เขาลงเล่นให้ “มังกรไฟ” 25 นัด ยิงไป 2 ประตู แต่โอกาสที่จะกลับไปเล่นในถิ่น เอสซีจี สเตเดียม ปิดลง เมื่อสโมสรตัดสินใจปล่อยไปค้าแข้งกับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ในฤดูกาลถัดมา อย่างไรก็ตามนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวสู่แข้งแถวหน้าของเมืองไทย
ตลอดการเล่นในสีเสื้อ “กว่างโซ้งฯ” พิธิวัตต์ เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มโดดเด่นเสมอ เขาลงสนามเป็นตัวจริงให้ เชียงรายฯ ต่อเนื่อง ก่อนจะเป็นบันไดก้าวไปสู่ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ครั้งแรกในชีวิต
ฤดูกาลที่ผ่านมา เขาคือฟันเฟืองสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ลีกหนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร โดยฤดูกาล 2020 มิดฟิลด์วัย 25 ปี กำลังพาต้นสังกัดป้องกันแชมป์ลีกในบทบาทกัปตันทีมคนใหม่แห่งทัพ “กว่างโซ้งฯ”

ศิวกรณ์ เตียตระกูล
อีกหนึ่งนักเตะที่แฟนบอล “กิเลนผยอง” ต่างเสียดายในฝีเท้าของเขา หลังต้องเห็นทีมรักปล่อยดาวเตะรายนี้ไปให้ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด
ศิวกรณ์ ลงเล่นให้ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เพียง 11 เกม ในปี 2015 ก่อนจะไปโดดเด่นสุดๆกับ บีอีซี เทโรศาสน ในฤดูกาล 2016 หลังโชว์ทักษะการเล่นอันยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการผ่านบอลที่แม่นราวจับวาง ตลอดจนลูกยิงไกลที่เป็นอาวุธเด็ดจนสามารถซัดไปถึง 9 ประตู แอสซิสต์อีก 4 ครั้ง จาก 28 เกม
แม้ผลงานโดยรวมน่าจะเพียงพอที่จะทำให้เขากลับมารับตำแหน่งจอมทัพให้ “กิเลผยอง” แต่ท้ายที่สุดสโมสรตกลงขายเขาให้กับ “กว่างโซ้งฯ” ที่ประทับฝีเท้าแข้งรายนี้ด้วยค่าตัว 15 ล้านบาท ทันทีที่ย้ายมาร่วมทีม ศิวกรณ์ รักษามาตรฐานการเล่นของเขาได้ดี และได้รับโอกาสลงสนามต่อเนื่อง
อีกทั้งในปี 2018 จากผลงานที่เข้าตาทำให้เขาถูก มิตติ ติยะไพรัช ประธานสโมสรฯ มอบเสื้อหมายเลข 10 ให้ใส่แทนที่ วานเดอร์ หลุยส์ แข้งตัวเก่งที่ย้ายไป ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ซึ่งต่อมาเขายังคงทำผลงานได้ดีไม่มีตกลงจนถึงปัจจุบัน
นับเป็นนักเตะที่ถูกมองข้ามจากทีมเดิม ก่อนจะประสบความสำเร็จกับสโมสรใหม่อย่างแท้จริง...

ปิยพล ผานิชกุล
ปิยพล เคยค้าแข้งกับ ชลบุรี เอฟซี ช่วงฤดูกาล 2009 สมัยที่ยังเป็นดาวรุ่ง ซึ่งเวลานั้นยังเป็นทีมยักษ์ใหญ่ไทยลีก และเพิ่งคว้าแชมป์ลีกเมื่อปี 2007 นั่นทำให้เขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในซุ้มม้านั่งสำรองของทัพ “ฉลามชล”
ตลอดการค้าแข้งใน ชลบุรี สเตเดียม ปิยพล แทบไม่ได้รับโอกาสลงสนาม ก่อนจุดเปลี่ยนสำคัญจะมาถึงเมื่อย้ายเข้าสู่รัง “กิเลนผยอง” ในฤดูกาล 2010 เขาได้ลงเล่นต่อเนื่องในตำแหน่งแบ็คขวา
ปิยพล ประสบความสำเร็จมากมายกับ เมืองทองฯ เขาช่วยทีมคว้าแชมป์ไทยลีกทันทีในปีแรกที่ย้ายมาร่วมทัพ ขณะที่ในปี 2012 เป็นกำลังหลักสำคัญชุดแชมป์ไร้พ่ายหลังคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 3 ให้โมสรได้สำเร็จ พร้อมสร้างสถิติลงเล่นครบ 100 นัดของตัวเองที่นี่
หลังจากนั้นเขาย้ายไปช่วย สิงห์ เชียงราย ยูไนเต้ด คว้าแชมป์ช้างเอฟเอ คัพ 2 สมัย โตโยต้าลีก คัพ 1 สมัย และปีล่าสุดกับโทรฟีแชมป์ลีกใบแรกของสโมสร
ปัจจุบัน ปิยพล ยังคงโลดแล่นบนลีกสูงสุดกับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ในวัย 32 ปี...

พีระพงษ์ เรือนนินทร์
นายด่านอดีตดีกรีทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ย้ายมาค้าแข้งกับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ในฤดูกาล 2017 ซึ่งถือเป็นการค้าแข้งในลีกสูงสุดครั้งแรก
อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาในทัพ “สวาทแคท” เขาแทบไม่มีโอกาสลงเฝ้าเสา ก่อนที่เลกสองในฤดูกาล 2018 จะปล่อยให้ อุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด ยืมใช้งาน แต่ก็ได้รับโอกาสลงเล่นไปเพียง 4 เกมเท่านั้น
พีระพงษ์ หอบความผิดหวังกลับ นครราชสีมาฯ อย่างไรก็ตามภายใต้การคุมทัพของ มิลอส โจซิค เขายังคงเป็นส่วนเกินของทีม ก่อนจะเป็น พีทีที ระยอง เอฟซี ที่ยื่นข้อเสนอคว้าไปเฝ้าเสาในปี 2019
หลังย้ายเข้าสู่รัง “พลังเพลิง” จอมหนึบวัย 24 ปี ฉายแววเด่นอย่างรวดเร็ว เมื่อโชว์ฟอร์มเซฟเป็นว่าเล่นป้องกันจังหวะสำคัญให้ทีมได้หลายครั้ง กล่าวได้เต็มปากว่า เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นอย่างแท้จริง และกลายเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ถูกจับตามองที่สุดคนหนึ่งบนเวทีไทยลีก ก่อนจะย้ายไปเล่นกับ สุโขทัย เอฟซี ในฤดูกาล 2020

ธีระพล เยาะเย้ย
สมัยค้าแข้งกับ บีอีซี เทโรศาสน ธีระพล เยาะเย้ย เป็นเพียงผู้เล่นสำรองที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามมากนัก โดยฤดูกาล 2018 เป็นปีสุดท้ายของเขากับการรับใช้ทัพ “มังกรไฟ”
เดิมทีฝีเท้ามีดีพอตัว แต่ในเวลานั้น บีอีซี เทโรฯ ที่เพิ่งเปลี่ยนเป็น โปลิศ เทโร เอฟซี อุดมไปด้วยแนวรุกชั้นยอดที่เข้ามาเสริมทัพอย่าง ไมเคิล เอ็นดรี้ , อ่อง ธู , มาร์กอส วินิซิอุส จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเบียดลงสนาม ที่สุดแล้วเขาได้รับโอกาสลงตัวจริงเพียง 7 นัด ก่อนถูกปล่อยไปอยู่กับ พัทยา ยูไนเต็ด ในเลกสองปีเดียวกัน
หลังย้ายมาร่วมทีม “โลมาน้ำเงิน” ธีระพล กลายเป็นตัวหลักของสโมสรทันที เขาลงสนามไป 17 นัด และเป็นสำรองเพียงเกมเดียวเท่านั้น ก่อนซีซั่นถัดมาจะยังเป็นกำลังหลักของทีมที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น กล้าเลี้ยงกล้าลุย สร้างโอกาสทำประตูให้เพื่อนร่วมทีม และเปี่ยมด้วยความแข็งแกร่งผลงานของเขาดีขึ้นผิดไปคนละคนกับสมัยเล่นอยู่ เทโรฯ
ในปีนั้นฟอร์มของดาวเตะวัย 25 ปี ยังไปเตะตา อากิระ นิชิโนะ กุนซือชาวญี่ปุ่น จนเรียกเขาติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ครั้งแรกในชีวิต ในชุดเตรียมทีมคัดฟุตบอลโลกกับ ทีมชาติมาเลเซีย อีกด้วย

สหรัฐ กันยะโรจน์
ช่วงหนึ่งเขาคือวันเดอร์คิดแห่งโซนภาคเหนือหลังแจ้งเกิดกับ ลำพูน วอร์ริเออร์ ในวัยเพียง 16 ปี จนถูก เชียงราย ยูไนเต็ด ดึงมาร่วมทัพในฤดูกาล 2015
ปีแรกกับ “กว่างโซ้งฯ” เขาได้โอกาสลงเก็บประสบการณ์ในลีกสูงสุดครั้งแรกทั้งสิ้น 27 เกม แบ่งเป็นตัวจริง 8 และสำรอง 19 นัด สหรัฐ เป็นผู้เล่นที่มีทักษะส่วนตัวสูง คล่องแคล่วว่องไว เป็นนักเตะที่น่าจับตามองของวงการลูกหนังไทย
อย่างไรก็ตามในฤดูกาล 2016 เขาได้ลงสนามเพียง 5 เกม เท่านั้น ซึ่งเป็นตัวสำรองทั้งหมด ก่อนจะถูกขายขาดให้ พีทีที ระยอง ที่เวลานั้นเล่นอยู่ในดิวิชั่น 1 หลังย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ “พลังเพลิง” สหรัฐ สวมบทจอมทัพพาต้นสังกัดจบอันดับ 5 ก่อนที่ปีถัดมาจะคว้าแชมป์ M-150 แชมเปี้ยนชิพ มาครอง พร้อมซิวตั๋วเลื่อนชั้นกลับเล่นลีกสูงสุดได้สำเร็จ
ดาวเตะวัย 25 ปี ยังสานต่อผลงานยอดเยี่ยมกับการโชว์ลีลาในเวทีโตโยต้า ไทยลีก 2019 และมีส่วนช่วยให้ทีมรอดจากการตกชั้น โดยย้อนกลับไปในเกมที่บุกเสมอ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 2-2 เขากระชากหลบแนวรับคู่แข่งสบายๆ โชว์สกิลสุดเหนือจนฤดูกาลล่าสุดจะถูก “กิเลนผยอง” คว้าตัวมาร่วมทัพในที่สุด

นิติพงษ์ เสลานนท์
แบ็คจอมบุกช้างศึกคนปัจจุบันเติบโตมาจากการปลุกปั้นของ ชลบุรี เอฟซี ช่วงนั้นพวกเขาเพิ่งคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในปี 2007 โดย นิติพงษ์ นั่งเป็นเด็กเก็บบอลข้างสนาม ซึ่งช่วงเวลานั้นยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากไต่เต้าสู่ทีมชุดใหญ่เร็ววัน
อย่างไรก็ตามการจะเบียดตำแหน่งในทัพ “ฉลามชล” ไม่ง่าย เขาถูกปล่อยไปเล่นกับ สระบุรี เอฟซี ด้วยสัญญายืมตัวในปี 2012 ตลอด 2 ปี กับทีม “ขุนศึก” เขาทำผลงานได้น่าประทับใจ กระทั่ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยื่นซื้อตัวไปร่วมทัพในฤดูกาล 2014
18 นัด 1 ประตู ถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับนักเตะวัย 21 ปี กับทีมยักษ์ใหญ่ไทยลีก ทว่าฤดูกาลถัดมา บุรีรัมย์ คว้าตัวแบ็คขวาดางรุ่งพุ่งแรงอย่าง นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดรม มาจาก บีอีซี เทโรศาสน รวมถึงตำแหน่งเดียวกันยังมี อนาวิน จูจีน เป็นตัวเลือก เพื่อหาโอกาสลงเล่นเขาจึงถูกปล่อยกลับไปเล่นให้ สระบุรี อีกครั้ง ด้วยสัญญายืมตัว 6 เดือน
เขาลงสนามไปเพียง 7 นัด ก่อนถูกต้นสังกัดที่แท้จริงเรียกตัวกลับ ก่อนต่อมาจะกลายเป็นสมาชิกใหม่ของ การท่าเรือ เอฟซี ในช่วงเลกสองของฤดูกาล 2015 หลังย้ายสู่รัง “สิงห์เจ้าท่า” เขาสามารถประจำการกราบขวาได้เหนียวแน่นพร้อมยกระดับทั้งเกมรับ และรุกให้ทีมได้ดีขึ้นทันตา
นิติพงษ์ กลายเป็นสตาร์ดวงใหม่แห่ง แพท สเตเดียม ทำผลงานดีวันดีคืน ในช่วงที่ทีมตกชั้นไปเล่นดิวิชั่น 1 ก็ยังคงปักหลักช่วยสโมสร กระทั่งเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง เขาเป็นแบ็คจอมบุกที่ครบเครื่อง
ฤดูกาล 2019 แข้งวัย 26 ปี ยังคงรักษามาตรฐานการเล่นสุดยอดเอาไว้ โดยช่วย การท่าเรือ คว้าแชมป์ช้างเอฟเอ คัพ ในรอบ 10 ปี อีกทั้งยังเป็นปีแห่งความสำเร็จที่พาเขาก้าวสู่เส้นทางทีมชาติไทย ชุดใหญ่ และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแบ็คขวาที่ดีที่สุดของไทยในเวลานี้

ศราวุธ อินทร์แป้น
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ หากเอ่ยชื่อ ศราวุธ อินทร์แป้น เชื่อว่ามีน้อยคนที่จะรู้จัก....
เขาเคยอยู่กับ บุรีรัมย์ พีอีเอ ก่อนที่ปี 2012 จะย้ายไปร่วมทีม แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล ยูไนเต็ด ณ เวลานั้นเขาถือเป็นเพชรเม็ดงามของ “อินทรีทัพฟ้า” และถูกมองเป็นปราการหลังอนาคตไกลคนหนึ่งของทีม
อย่างไรก็ตามโอกาสลงสนามต่อเนื่องกับ แอร์ฟอร์ซฯ ไม่ง่าย เขาถูกปล่อยยืมให้ ตราด เอฟซี ใช้งานในปี 2015 ก่อนจะกลับมาอยู่กับทีมอีกครั้งจนถึงฤดูกาล 2017 กระทั่งฤดูกาล 2018 กลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิต เมื่อ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่ไทยลีกคว้าตัวไปร่วมทัพ
ศราวุธ พิสูจน์ฝีเท้าบนเวทีไทยลีกได้น่าประทับใจกับสไตล์การเล่นสุดหนักหน่วง และแข็งแกร่งปีแรกกับ “กว่างโซ้งฯ” ลงสนามในลีกไปทั้งสิ้น 18 เกม และยังคงเป็นกองหลังคนสำคัญของทีมในปีต่อมาจนถึงปัจจุบันพร้อมดีกรีแชมป์โตโยต้า ไทยลีก หนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร

สิโรจน์ ฉัตรทอง
แนวรุกจอมพลังไต่เต้าจากสโมสรระดับลีกล่างอย่าง นนทบุรี เอฟซี , สุรินทร์ ซิตี้ และ บีซีซี เทโร เอฟซี อดีตพันธมิตรของ บีอีซี เทโรศาสน ก่อนจะย้ายมาประสบความสำเร็จกับ อุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด
การเล่นให้ “เทพอินทรี” ภายใต้การคุมทัพของ สก็อต คูเปอร์ สิโรจน์ กลายเป็นกำลังหลักของสโมสร มีทั้งความแข็งแกร่งบุกตะลุยไม่มีหมดโดยเฉพาะลูกเก่งจังหวะกระชากด้วยความเร็วหนีคู่แข่ง จนฟอร์มไปเตะตา “ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชทีมชาติไทยในเวลานั้น พร้อมช่วยช้างศึกคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ปี 2016 ด้วยผลงาน 3 ประตู
นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งช่วย อุบลฯ คว้าตั๋วเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร เส้นทางค้าแข้งเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยฤดูกาล 2017 เขายังคงเป็น “ปีโป้” คนเดิมที่มีจุดขายเรื่องความแข็งแกร่งจนถูก เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ซื้อไปร่วมทีมด้วยค่าตัวถึง 13 ล้านบาท ในช่วงเลกสองปีเดียวกัน ก่อนต่อมาจะย้ายไปอยู่กับ พีที ประจวบ เอฟซี และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ตามลำดับ
โฆษณา