วาตารุ เอ็นโดะ : คำตอบสุดท้ายในแดนกลางของลิเวอร์พูล หรือจะเป็น 'นิว อาร์ตูร์ เมโล'?!

เอ็นโดะ เกิดที่โยโกฮามา และเริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนของ โชนัน เบลล์แมร์ ก่อนจะก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2010 และติดทีมชาติญี่ปุ่นในอีก 5 ปีต่อมา

ฟอร์มอันโดดเด่นของเขาทำให้ถูก อุราวะ เร้ด ไดมอนด์ ดึงตัวไปร่วมทีม และเขามีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ในปี 2017

เอ็นโดะ ติดทีมชาติญี่ปุ่นไปเล่นฟุตบอลโลก 2018 แต่ไม่ได้ลงสนามเลย ก่อนย้ายไปร่วมทีม แซงต์ ทรุยด็อง จนถึงปี 2019 จากนั้นได้ย้ายมาเล่นกับ สตุ๊ตการ์ท ด้วยสัญญายืมตัวและทำผลงานน่าประทับใจจนได้สัญญาถาวร

เอ็นโดะ อยู่กับ แซงต์ ทรุยด็อง เพียงแค่ปีกว่าเท่านั้น เพราะว่า สเวน มิสลินทัต ผู้อำนวยการกีฬาของสตุ๊ตการ์ทในเวลานั้น ชื่นชอบในฝีเท้าของเขาและเชื่อว่าดาวเตะชาวญี่ปุ่นรายนี้มีศักยภาพมากพอจะกลายเป็นแข้งชั้นยอดในอนาคตได้

ที่จริงแล้ว เขาต้องการเซ็นสัญญาถาวรกับ เอ็นโดะ ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ปี 2019 แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณทำให้ทำได้เพียงเป็นสัญญายืมตัวไปก่อน

สตุ๊ตการ์ท ใช้เงินเพียง 1.7 ล้านยูโร ในการดึงตัว เอ็นโดะ มาร่วมทีมในเดือนเมษายน 2020 และพิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในดีลที่ยอดเยี่ยมสุดของสโมสร

ต้องยกเครดิตให้ สเวน มิสลินทัต อดีตผู้อำนวยการกีฬาของสตุ๊ตการ์ท ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่มีพรสวรรค์ในการเฟ้นหานักเตะที่มีชื่อเสียงระดับโลก ปัจจุบันเขาทำงานอยู่กับ อาแย็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

เอ็นโดะ ช่วยให้ สตุ๊ตการ์ท เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดได้ในฤดูกาลแรกของเขากับสโมสร ก่อนจะพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในกองกลางตัวรับที่ดีสุดของบุนเดสลีกาได้อย่างรวดเร็ว

แม้จะไม่ใช่คนที่พูดเก่ง แต่เขากลายเป็นหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดในห้องแต่งตัว จนเพื่อนร่วมทีมยกให้เป็น 'ผู้นำเงียบของสตุ๊ตการ์ท'

อดีตโค้ชอย่าง เปเยกริโน มาตาราซโซ ไม่ลังเลเลยที่จะมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้นักเตะที่พูดน้อยอย่าง เอ็นโดะ เพราะเขามั่นใจว่ามิดฟิลด์ซามูไรจะทำหน้าที่ได้ดี

"สิ่งสำคัญสำหรับผมคือกัปตันที่จะพาทุกคนสู้ไปด้วยกัน ซึ่งเขา (เอ็นโดะ) แสดงให้เห็นถึงคุณค่าในตัวเขาและเป็นตัวอย่างให้คนอื่นทำตาม" มาตาราซโซ กล่าว

"ผมเลือก วาตารุ เอ็นโดะ เพราะเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากๆ และคอยช่วยเหลือคนอื่นเสมอ"

เอ็นโดะ ได้รับการยกย่องในญี่ปุ่นว่าเป็น 'ราชาแห่งการดวลตัวต่อตัว' ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะมีสถิติดวลกับคู่แข่งถึง 1274 ครั้ง นับตั้งแต่ย้ายมาเล่นในบุนเดสลีกา รวมถึงมีสถิติแย่งบอลกลับมาครองถึง 706 ครั้ง และเข้าปะทะชนะ 207 ครั้ง ซึ่งอธิบายได้ดีว่าทำไม ลิเวอร์พูล ถึงให้ความสนใจ

นอกจากนี้ ดาวเตะแดนปลาดิบยังเล่นได้หลายตำแหน่ง โดยเคยเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟให้ สตุ๊ตการ์ท มาแล้ว รวมถึงเคยเล่นเป็นฟูลแบ็คทั้งสองฝั่งตอนเล่นอยู่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งเขาทำได้ดีในทุกตำแหน่ง

อีกหนึ่งจุดแข็งคือเขาเป็นนักเตะเกมรับที่เล่นเกมรุกได้ยอดเยี่ยมด้วย

คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่แฟน ลิเวอร์พูล จะมีคำถามว่า เอ็นโดะ ดีพอจะเข้ามาเป็นตัวแทนของ ฟาบินโญ หรือไม่ เมื่อดาวเตะวัย 30 ปี ไม่ใช่ผู้เล่นที่มีประสบการณ์มากนักในการเล่นฟุตบอลในระดับสูง และไม่เคยลงเล่นในเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่า เอ็นโดะ โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในเกมที่ญี่ปุ่นเอาชนะ เยอรมัน ในฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด รวมถึงในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับโครเอเชียด้วย ซึ่งเป็นการพิสูจน์แล้วว่าเขารับมือเกมใหญ่ที่มีความกดดันได้อย่างไม่มีปัญหา

นอกจากนี้ เจ้าตัวอยากเล่นในพรีเมียร์ลีกมานานแล้วและเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ยังไม่ออกจากญี่ปุ่นด้วยซ้ำ

เอ็นโดะ มีชื่อเสียงเรื่องการทำฟาล์วที่ชาญฉลาด และไม่ใช่มิดฟิลด์ที่ได้ใบเหลืองบ่อยนัก (3 ใบจาก 33 นัดในลีกฤดูกาลที่แล้ว) แม้ว่าด้วยตำแหน่งแล้วจะเป็นคนที่คอยตัดเกมและช่วยเกมรับเป็นหลัก

ที่เยอรมันเขาถูกยกไปเปรียบเทียบกับ โคล้ด มาเกเลเล อดีตกองกลางทีมชาติฝรั่งเศส ด้วยการเป็นมิดฟิลด์ตัวรับที่ไม่ได้สูงมาก (5 ฟุต 10 นิ้ว) แต่มีร่างกายที่แข็งแกร่ง, เล่นเกมรับได้ดี และจ่ายบอลได้

แน่นอนว่า เอ็นโดะ สามารถเป็นตัวจริงให้ ลิเวอร์พูล ได้อย่างไม่มีปัญหา โดยเฉพาะเมื่อ ติอาโก้ อัลคันทารา และ สเตฟาน บายเซติช ยังมีอาการบาดเจ็บ และน่าจะประสานงานกับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ได้อย่างลงตัว แต่อาจต้องแย่งตำแหน่งกับ เคอร์ติส โจนส์

สภาพร่างกายและความฟิตของเขาสมบูรณ์ดี และสามารถลงสนามในเกมกับ บอร์นมัธ สัปดาห์นี้ได้เลยหากการย้ายทีมเสร็จสิ้นทันเวลา

อยู่ที่ว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ มั่นใจแค่ไหนที่จะให้เขาลงสนามทันที ไม่แน่ว่าหงส์แดงอาจได้ 'ผู้คุ้มกัน' คนใหม่ ที่คอยปกป้องแผงแบ็คโฟร์ก็เป็นได้