“มันไม่น่าสนใจที่จะค้นหาว่า ทำไมคนไม่ดี ถึงได้ทำในสิ่งที่ไม่ดี คำถามที่น่าสนใจก็คือ
ทำไมคนดีๆ ถึงได้ทำสิ่งที่เลวร้าย? หรือทำไมคนดีๆ ถึงได้ปล่อยให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น?” ~ ปีเตอร์ เฮย์ส นักประวัติศาสตร์
เอาช์วิทซ์ ชื่อนี้ยังคงหลอกหลอนผู้รอดชีวิตจากฮอโลคอสต์
ด้วยวัยเพียง 12 ปี เอวา ซีเปชี หญิงสาวชาวฮังการี ซึ่งหนีไปสโลวาเกียเพื่อหลบหนีกองกำลังนาซี ถูกจับได้และถูกพาไปที่เอาช์วิทซ์ โชคดีที่ไม่มี "การคัดเลือก" ในเย็นวันนั้น เธอจึงมีชีวิตรอดไปได้อีกหนึ่งวัน
ในเช้าวันต่อมา เธอถูกเรียกตัวไปลงทะเบียน ทันใดนั้น การ์ดก็เข้ามากระซิบข้างหูเธอ "เธออายุ 16 ปี อย่าแกล้งทำเป็นเด็กไปกว่านั้น"
เพียงไม่กี่วินาที ชื่อของเธอก็ถูกเรียกจากโต๊ะลงทะเบียน
"อายุเท่าไหร่? ฉันไม่ได้ตอบอะไร เธอตะคอกใส่ฉัน อายุเท่าไหร่? ฉันก็เลยตอบไปว่า 16 โดยไม่ได้คิดอะไรเลย ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันต้องตอบไปว่า 16 แต่หลังจากนั้น ฉันก็ได้รู้ว่าคุณจะทำงานได้เมื่ออายุถึง 16 ปี" เอวารำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
เธอถูกประทับตราหมายเลข A26877 ลงบนแขนซ้าย และเธอยังคงเก็บรอยสักนั้นไว้บนตัวเธอจนถึงทุกวันนี้

(ซีอีโอ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ฮันส์-โยอาคิม วัตซ์เค)
เมืองดอร์ทมุนด์ก็มีความเกี่ยวข้องกับเอาช์วิทซ์เช่นกัน สถานีรถไฟเก่า Dortmund-Süd เป็นจุดเริ่มต้นของการเนรเทศชาวดอร์ทมุนด์กว่า 1,000 ชีวิตในช่วงทศวรรษที่ 1940s ในทุกๆ ปี แฟนบอลและพนักงานของดอร์ทมุนด์ จะมารำลึกถึงเหตุโศกนาฎกรรมนี้ และพวกเขาก็ทำงานอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับกระแสการต่อต้านยิว
ในเดือนเมษายน 2019 ฮันส์-โยอาคิม วัตซ์เค ซีอีโอ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไปเยือนที่ยาด วาเชม เพื่อบริจาคเงิน และวางแผ่นหินรำลึกที่นั่น เพื่อเป็นการรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากฮอโลคอสต์
"เราต้องทำให้แน่ใจว่า เราอยู่ห่างไกลจากความคิดที่ว่า แค่การพูดกันปากต่อปาก ก็เพียงพอจะทำให้เกิดอะไรดีๆ ได้แล้ว เพราะมันไม่เพียงพอ แน่นอน ถ้าคุณบริจาคเงินเป็นตัวเลขเจ็ดหลัก มันก็เป็นเรื่องทางด้านการเงินด้วย แต่มันก็เป็นสัญญาณจากเราด้วยเช่นกัน เป็นสัญญาณว่าเราจะไม่ได้เพียงแค่พูด แต่มีการลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อที่จะส่งเสียงไปให้ถึงสาธารณะผ่านอะไรแบบนั้น แต่คุณก็จะต้องทำมันอย่างยั่งยืน การทำอะไรแค่เพื่อโปรโมทครั้งเดียว ผมไม่ชอบอะไรแบบนั้นเลย" วัตซ์เคกล่าว
ในทุกๆ ปี จะมีแฟนบอลดอร์ทมุนด์จำนวนหนึ่งเดินทางไปที่ เอาช์วิทซ์ แต่ในคราวนี้มันแตกต่างออกไป เจ้าหน้าที่ของสโมสรและพนักงานของอิวอนิค ร่วมเดินทางไปเยือนสถานที่แห่งประวัติศาสตร์อันโหดร้ายนี้พร้อมกัน
"ในเดือนมีนาคม 2017 เราไปที่ เอาช์วิทซ์ กัน 4 วัน มันเปลี่ยนแปลงตัวเราไปเยอะมาก เรามีการยอมรับกันมากขึ้นในบริษัทของเรา เกี่ยวกับประเด็นเรื่องการรับมือกับอดีตของนาซี การได้ศึกษาบทเรียน และเรียนรู้เพื่อปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยไปอยู่ที่เอาช์วิทซ์มาก่อนหรือไม่ คนที่ได้ไปเอาช์วิทซ์ในคราวนั้น กลายมาเป็นคนสำคัญที่ช่วยเผยแพร่เรื่องราวเหล่านี้ สำหรับพวกเรา กับบริษัทที่อยู่มาก่อนพวกเรา มันเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเรา สำหรับดอร์ทมุนด์ มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพวกเขา พวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม แต่พวกเขาก็ทำ" มาร์คัส ลานเกอร์ หัวหน้าฝ่ายภาพลักษณ์องค์กรของอิวอนิค กล่าว
Gettyหลังจากที่ฮิตเลอร์ขึ้นครองอำนาจในปี 1933 พวกเขาก็พยายามเข้ามาครอบงำวงการกีฬา มีธงสวัสดิกะโบกสะบัดเหนือ Borussiaplatz มีแฟนบอลทีมเสือเหลืองสองรายคือ ไฮน์ริช เชอร์คุส และ ฟรานซ ฮิปป์เลอร์ที่ถูกขึ้นบัญชีดำและถูกสังหารในปี 1933 ในปัจจุบัน มีกลุ่มแฟนคลับที่ตั้งชื่อตามเชอร์คุส และมีการเดินรำลึกถึงสองคนนี้ทุกๆ ปีในวันกู้ดฟรายเดย์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีแฟนบอลกว่า 1,000 รายมารวมตัวกัน
นอกจากแฟนบอลทั้งสองคน ยังมีครอบครัวชาวยิวออร์ลีอองส์ที่เดินทางจากย่านชาวโปแลนด์ในรัสเซีย เพื่อเข้ามาอยู่ที่ดอร์ทมุนด์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และมีส่วนสำคัญต่อสโมสรด้วยการซื้อโฆษณาในวารสารประจำเดือนของสโมสรในช่วงปี 1920s ด้วย
"ประวัติศาสตร์ของครอบครัวออร์เลอ็องก็เหมือนครอบครัวยิวอื่นๆ ในดอร์ทมุนด์ และทั่วทั้งเยอรมันในตอนนั้น เป็นเรื่องราวของการเดินทาง, การหลบหนี
การกดขี่ และสุดท้ายก็ถูกสังหาร" รอล์ฟ ฟิชเชอร์ นักประวัติศาสตร์ผู้เป็นแฟนบอลดอร์ทมุนด์มากว่า 50 ปีกล่าว
ทางสโมสรก็มีการบันทึกเรื่องราวของครอบครัวออร์เลอ็องนี้ไว้ในแผ่นหินรำลึกด้วยเช่นกัน
ในระหว่างการไปเยือน ยาด วาเชม คาร์สเทน คราเมอร์ ผู้อำนวยการบริหารและหัวหน้าฝ่ายการตลาดของดอร์ทมุนด์ ก็เดินทางไปพร้อมกับวัตซ์เคด้วย เขาได้ไปพบปะพูดคุยและใช้เวลากับผู้รอดชีวิตจาก ฮอโลคอสต์ อีกหลายราย
"มันส่งผลต่อคุณเยอะมาก แต่ความประทับใจเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผมไม่มีทางพลาดได้เลย ผมเชื่อว่าประสบการณ์จากการได้พูดคุยกับใครสักคนที่ผ่านความสูญเสีย, ได้เห็น, ได้รู้สึก, ได้รับรู้ถึงสิ่งนั้น, จะทำให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น นี่จะต้องเป็นปัญหาอย่างแน่นอนสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป ที่จะไม่มีใครทำแบบนี้ได้อีกแล้ว นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราทุ่มเทอย่างมากกับ ยาด วาเชม เพื่อให้มั่นใจว่าความทรงจำมันจะจับต้องได้จะต้องสมจริงให้ได้มากที่สุด" คราเมอร์กล่าว
กิจกรรมของดอร์ทมุนด์ยังขยายไปร่วมมือกับบรรดายักษ์ใหญ่ในยุโรป เพื่อต่อกรกับการต่อต้านชาวยิว ซึ่งเชลซีก็เป็นหนึ่งในสโมสรที่มีการทำงานในเรื่องนี้ และเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับดอร์ทมุนด์
"ในตอนนี้ มันเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบสิ่งที่เราทำลงไปแล้ว และมองหาว่าวิธีไหนที่จะดีที่สุด และมันควรจะเป็นอย่างไร แต่พูดตรงๆ นะ ผมคิดว่ามันคงจะดีมากๆ เลย ถ้าเรามีหนทางที่จะร่วมมือกันได้ สโมสรของคุณกับสโมสรของเรา ในโปรเจคต์สักโปรเจคต์ ในโปรเจคต์สาธารณะที่อาจจะสร้างผลกระทบให้ลีกในยุโรปได้แบบจริงๆ จังๆ รวมถึงให้ชุมชนของเราไปได้พร้อมๆ กัน" บรูซ บัค ประธานสโมสรเชลซีระบุ

ในวันที่ 27 มกราคม 1945 ทหารโซเวียตเข้ายึดครองเอาช์วิทซ์ และยุติความโหดร้ายเหล่านี้ มีนักโทษ 7,000 ราย รวมถึงเด็ก 700 ชีวิตที่ถูกช่วยเหลือ รวมถึงเอวาที่แทบจะอยู่ระหว่างความเป็นความตายไปแล้ว
"ฉันนอนอยู่กับคนตายและคนครึ่งเป็นครึ่งตายตรงนั้น ฉันจำได้ว่ามีบางคน ฉันไม่รู้ว่าใคร ป้อนหิมะให้ฉัน ฉันเป็นลมไป ปากของฉันร้อนผ่าว แต่หิมะได้ผลดีมาก ฉันก็เลยกินแต่หิมะเข้าไป" เธอเล่าถึงเรื่องราวของเธอที่พิพิธภัณฑ์ยิวในแฟรงค์เฟิร์ต
ตลอดระยะเวลา 50 ปี เธอไม่เคยพูดอะไรถึงเอาช์วิทซ์เลยสักคำเดียว ในปี 1995 เธอกลับไปเยือนที่นั่นพร้อมกับลูกสาวของเธอ และเธอก็ได้พบชื่อของเธออยู่ท่ามกลางรายชื่อของคนเสียชีวิตในโรงทหารของชาวฮังการี ชื่อ เอวา เดียมันต์ (ชื่อเดิมของเธอ)
"นั่นไม่ใช่ฉัน เป็นเอวา เดียมันต์ อีกคนหนึ่ง"
ในท้ายที่สุด เอวา เดียมันต์ ที่เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1932 ก็รอดชีวิตออกมาจากเอาช์วิทซ์ ปัจจุบันมีลูกสาวสองคนคือ วาเลิร์ฟ และคารอล์ฟ ซีเปชี
ในฐานะพันธมิตร อิวอนิก และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยืนหยัดร่วมกันมากกว่าแค่ฟุตบอล
เรียนรู้เพิ่มเติมที่: gobeyondfootball.com




