คุณแม่สุนันทาวดี สายแวว มารดาของ เกียรติประวุฒิ สายแวว อดีตกองหลังทีมชาติไทย ยังคงสนุกกับการย้อนอดีตเล่าเรื่องลูกชายของตัวเองในกลุ่มเฟซบุ๊ก 'สังคมผู้สูงวัย' ล่าสุดมีตอนใหม่มาแล้ว แชร์เรื่องราววีรกรรมของลูกชายตัวเองสมัยเล่นให้ชลบุรี เอฟซี
โพสต์แรกของคุณแม่สุนันทาวดี สายแวว ที่แชร์เรื่องราวในกลุ่มดังกล่าว เกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกชายตั้งแต่แรกเกิด จนกระทั่งเติบโตขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย สร้างความภาคภูมิใจแก่ครอบครัว โดยได้รับคำชมจากสมาชิกในกลุ่มจำนวนมาก
ประกอบกับการเขียนเล่าเรื่องของคุณแม่ที่น่าสนใจ อ่านเพลิน ชวนติดตามต่อจนแฟนบอลเรียกร้องให้มีตอนต่อไป เพราะอยากรู้เรื่องราวในอดีตของ เกียรติประวุฒิ สายแวว อดีตปราการหลังทีมชาติไทย ที่ปัจจุบันแขวนสตั๊ดไปนานแล้ว และกำลังทำหน้าที่คุณพ่อด้วยการพาลูกสาวมาเรียนหนังสือที่สหรัฐอเมริกา
"มีแฟนคลับเรียกร้องว่าอยากฟังเรื่องราวตอน เกียรติประวุฒิ สายแวว ติดทีมชาติแล้ว ฉันก็จะเล่าเฉพาะส่วนที่ฉันรู้นะคะ อาจจะไม่มีสาระเท่าไรนัก ถือว่าเล่าสู่กันฟังเพลิน ๆ"
"ฉันต้องนั่งนึกลำดับเหตุการณ์ก่อน ตอนนั้นแม่กับพ่อ และป้าลุงจากโคราชก็ขึ้นไปเยี่ยมเกียรติประวุฒิที่ทีมชลบุรีเป็นครั้งแรก หลังจากที่เขาติดทีมชาติได้ไม่นาน และก็มีโอกาสได้เจอคุณอรรณพ สิงห์โตทอง ผู้จัดการทีมชลบุรีสมัยนั้น"
“คุณอรรณพให้ความรักและเอ็นดูคาวบอยมาก จากที่ฉันฟังคุณอรรณพพูดถึงคาวบอย เขาพูดไปหัวเราะไป เท่าที่ฉันจำได้เขาถามว่าไอ้คาร์เคยส่งเงินไปให้แม่บ้างไหม ตอนนั้นเขาน่าจะอยู่ประมาณ ม.5 เล่นให้ทีมชลบุรีและติดทีมชาติด้วย"
"ตอนนั้นเงินเดือนคาวบอยยังไม่มาก เขานำไปใช้จ่ายส่วนตัวและเลี้ยงเพื่อน ๆ บ้าง เรียกว่าเปย์เพื่อนกันสนั่นหวั่นไหวเหมือนเด็กวัยรุ่นที่ไม่เคยมีเงิน พอมีเงินเป็นของตัวเองก็ใช้อย่างสนุกสนานยังไม่รู้จักหวงเงิน อีกทั้งพ่อกับแม่ก็ไม่เคยถามเรื่องเงินเดือนของลูก ขอให้ลูกรับผิดชอบตัวเองให้ได้ก็พอ แต่พอเงินเดือนเขาขึ้นหลักแสน เขาจึงส่งมาให้พ่อกับแม่เป็นเรื่องเป็นราวมาซื้อบ้าน ที่ดินและนาไว้"
"คาวบอยเล่าให้แม่ฟังว่า เพื่อน ๆ ในทีมจะกลัวคุณอรรณพมาก เวลาจะเบิกเงินหรือจะขออะไรก่อนกำหนด จะไม่ค่อยกล้ากัน ต้องส่งคาวบอยเป็นตัวแทนไปขอทุกครั้ง คาวบอยว่าไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัวตรงไหนเลย เรามีธุระอะไรเราก็ไปพูดกับเขาตรง ๆ ถ้าเขาให้ก็ดีถ้าเขาไม่ให้ก็แล้วไป…คาวบอยจะเป็นคนแบบนี้ คือเป็นคนมีเหตุมีผล"
"คุณอรรณพเล่าให้ฟังอีกว่า มีอยู่วันหนึ่งคาวบอยแอบขับรถของทีมพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวตอนกลางคืน อาจจะไปโดยไม่ขออนุญาตคุณอรรณพ แต่ไปได้กุญแจมาจากคนขับรถ ก็อาจเป็นได้ ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ..."
"แต่ที่แม่จำได้ก็คือคุณอรรณพเล่าว่าคาวบอยดันขับรถไปชนอะไรสักอย่างนึง รถเสียหายมาก...จนขับรถกลับแคมป์ที่พักไม่ได้ จึงจำเป็นต้องโทรศัพท์ไปบอกคุณอรรณพให้มาช่วยดูรถให้ด้วย..."
"คุณอรรณพเล่าไปหัวเราะไปว่า 'หนีกูไปเที่ยวยังไม่พอ แล้วยังต้องให้กูตามจ่ายเงินค่าซ่อมรถตั้ง 50,000 บาท' ฉันก็เลยถามว่าพวกเขาจ่ายคืนคุณอรรณพไหม คุณอรรณพหัวเราะอารมณ์ดีแล้วพูดว่า 'อ้อยเข้าปากช้างแล้วอย่าหวังว่าจะได้คืน จ่ายแล้วจ่ายเลย' จากคำบอกเล่าของคุณอรรณพทั้งหมด ฉันจึงมั่นใจว่าคุณอรรณพ ผู้จัดการทีมชลบุรี เอ็นดูคาวบอยเป็นอย่างมาก"
"อีกเหตุการณ์นึงที่ฉันจำได้ก็คือ...ฉันเคยถามเรื่องเกี่ยวกับคุณวิทยา เลาหกุล โค้ชฟุตบอลทีมชาติไทยที่เขาไปเป็นโค้ชอยู่ที่ญี่ปุ่นหลายปี และกลับมาเป็นโค้ชให้ทีมชาติไทย ถามว่าคาวบอยเคยคุยกับโค้ชท่านนี้ไหม คาวบอยว่าคุยกันบ่อย คาวบอยเรียกโค้ชท่านนี้ว่า 'พี่เฮง'
"ปกติโค้ชกับนักฟุตบอลก็จะไม่ค่อยสนิทกันเหมือนครูกับนักเรียนที่ออกจะเกร็ง ๆ กันอยู่ในทีม…คาวบอยบอกว่าถ้าอยู่ในสนามนั้นใช่ แต่พออยู่นอกสนาม คาวบอยบอกว่าคาวบอยก็ทำตัวตามปกติ ไม่ได้เกร็งอะไร ด้วยความเป็นธรรมชาติเป็นคนง่าย ๆ ของคาวบอย เวลาไปพักตามโรงแรม โค้ชเฮงจึงมักจะเรียกคาวบอยไปเป็นเพื่อนคุยบ่อย ๆ"
"โค้ชเฮงยังเคยสอนคาวบอยตีลังกาม้วนตัวในสนาม โดยใช้เตียงของโรงแรมเป็นสนามสาธิตให้ดู พอสอนเสร็จคาบอยก็ทำตาม สรุปทั้งโค้ชและนักฟุตบอลต่างก็ตีลังกาเล่นกันอย่างสนุกสนาน"
"ที่คาวบอยมีสไตล์การเล่นบอลที่นิ่ง เพราะเขาเป็นคนใจเย็นไม่โฉ่งฉ่างได้พ่อ...ตอนเป็นหนุ่ม พ่อเขาก็เป็นนักฟุตบอลของวิทยาลัยครูอุบลราชธานีเหมือนกัน แต่มาขี่มอเตอร์ไซค์ชนหมาขาต้องเข้าเฝือก ก็เลยเลิกเตะ คาวบอยเป็นคนที่ไม่ตื่นเต้นกับอะไรทั้งสิ้น มีความมั่นใจในตัวเองสูง"
"หลัง ๆ มาคาวบอยเริ่มบาดเจ็บบ่อย เพราะกรำศึกหนัก ติดทีมชาติชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 17 ปี อายุยังน้อย กระดูกยังอ่อนแต่ตัวโต พอไปเจอกองหลังต่างชาติที่อายุมาก กระดูกแข็งแกร่งกว่า เวลาเตะสกัดกัน คาวบอยก็จะเจ็บอยู่บ่อย ๆ จนกลายเป็นเจ็บเรื้อรัง"
"ตอนเขาไปเกณฑ์ทหารที่อุบล ก็มีคนมาทาบทามให้เขาไปอยู่กับทีมของกองทัพบก แม่อยากให้เขาย้ายมาอยู่ทีมกองทัพบกมาก เพราะแม่มองถึงอนาคตอันยาวไกล ถ้าลูกอายุมากขึ้นแล้วเลิกเตะบอล ลูกก็ยังจะได้รับราชการ มีเงินเดือนกินต่อไปจนตาย แต่เขาปฏิเสธ"
"แม่โกรธมากที่ลูกไม่เข้าใจเจตนาอันดีของแม่ แต่พอได้ฟังเหตุผลของเขาแล้ว แม่ก็ต้องยอมตามนั้น"
"เขาบอกว่าเขาเติบโตมาจากทีมชลบุรีตั้งแต่เด็ก พอติดทีมชาติ มีชื่อเสียง แล้วจะหนีออกจากทีมชลบุรีได้ยังไง ตอนนั้นคาวบอยรุ่งมาก มีหลายทีมต้องการตัวเขา แต่เขาก็ไม่ไป เขายืนหยัดที่จะอยู่ทีมชลบุรี แม่ฟังแล้วก็ภูมิใจที่ลูกรู้จักคิดตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ"
"แต่พอถึงเวลาอันสมควร ทางทีมเขาก็ปล่อยให้คาวบอยเลือกเองตามที่ต้องการ จะไปอยู่ทีมไหนก็ได้ไม่ผูกมัด"
"คาวบอยก็ย้ายไปอยู่หลายทีม จนอายุมากขึ้นราว ๆ 32-33 ปี และอาการบาดเจ็บก็ยังเรื้อรังไม่หาย แม่ก็เลยบอกว่าถ้าไม่ไหวก็ให้แขวนสตั๊ดเถอะ ทรัพย์สมบัติคาวบอยก็พอมีหลายอย่างแล้ว ถ้าฝืนต่อไปคาวบอยอาจจะเดินกะโผลกกะเผลก ขาไม่ดีไปตลอดชีวิต ในที่สุดคาวบอยก็แขวนสตั๊ดขณะอยู่ที่ทีมเชียงราย ยูไนเต็ด"
"พอคาวบอยกลับบ้าน แม่ก็จัดงานผูกแขนรับขวัญคาวบอยที่บ้านหัวเรือ คาวบอยกลับมาอุบลก็มาเป็นโค้ชให้กับทีมวารินชำราบ แล้วก็เปิดอคาเดมี่สอนฟุตบอลให้กับเยาวชนที่สนใจเรียนในจังหวัดอุบลราชธานี มีคนมาสมัครเรียนมากจนได้จ้างโค้ชมาช่วย"
"โค้ชคนสำคัญประจำ 'เกียรติประวุฒิ อคาเดมี่' ก็คือ 'จังโก้' ประวุฒินันท์ สายแวว น้องชายคนเดียวของเขา ที่จบเอกฟุตบอลมาจากมหาวิทยาลัยมหิดล และได้ C License ก่อนพี่ชาย จึงสามารถเป็นโค้ชได้อย่างถูกต้องกว่าพี่"
"พอเขาแต่งงานและมีลูกสาว เขาก็พากันยกครอบครัวไปอยู่ที่อเมริกา เป้าหมายที่สำคัญก็คืออยากจะให้ลูกสาวได้เรียนหนังสืออยู่ที่อเมริกาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจะวิดีโอ คอล มาคุยกับแม่อาทิตย์ละครั้ง หรือสองอาทิตย์ หนึ่งครั้ง เพราะเวลาเราไม่ตรงกัน แม่กำลังจะเข้านอน เขาก็กำลังจะออกไปทำงาน ก็จะได้โทรคุยกันช่วงนั้น"
"ครอบครัวเราแม้จะอยู่คนละทิศคนละทาง แต่แม่ไม่รู้สึกว่าลูก ๆ ห่างหายไปไหน เขาทั้งสองอยู่ในโทรศัพท์ของแม่ตลอดเวลา แค่นี้เอง แม่คิดถึงเมื่อไหร่ก็ยกโทรศัพท์ขึ้น เมื่อนั้นก็เจอหน้าเขาแล้ว"


