ปัจจุบันในวัย 29 ปี สารัช อยู่เย็น ห้องเครื่องจาก บีจี ปทุมฯ ถือเป็นหนึ่งในกองกลางดีที่สุดของไทยในยุคนี้ และ ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนหนึ่ง ทั้งในแง่ฝีเท้า ความสำเร็จในระดับสโมสร และ ทีมชาติไทย แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ชีวิตของเขาผ่านอะไรบ้าง ติดตามได้ที่นี่
ย้อนกลับไปวัยเด็ก สารัช เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คน ที่มีโอกาสศึกษาโรงเรียนในเครือ อัสสัมชัญ ถึง 3 แห่ง เริ่มจาก อัสสัมชัญ สมุทรปราการ , อัสสัมชัญ นครราชสีมา และ อัสสัมชัญ ธนบุรี แต่จุดเปลี่ยนจริงๆ เกิดขึ้นในช่วงที่เขา เข้าสู่รั้ว ‘อัสสัมชัญ ธนบุรี’ เมื่อช่วง ม.4-ม.6
ชีวิต ม.ปลาย ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเด็กวัยรุ่นทุกคน เช่นเดียวกับ สารัช ที่ขณะนั้นมีความเกเร ตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไป เขาโดดเรียนไปเที่ยวห้าง เล่นเกม จนไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน และ นอกจากผลการเรียนจะย่ำแย่แล้ว ในแง่ฟอร์มการเล่นในสนามก็ไม่ดี และ รุ่นของเขา ก็แทบจะไม่มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันใหกับ สถาบันฯ
กระทั่ง ทีมชาติไทย U19 เปิดคัดตัว นั่นจึงกลายเป็นจุดที่ทำให้ สารัช โฟกัสกับชีวิตฟุตบอลมากขึ้น เมื่อเขาติดเป็นหนึ่งในผู้เล่น ชุดไปคว้าแชมป์อาเซียน ที่ประเทศเวียดนาม เมื่อปี 2009 จากนั้น เขาก็ปรึกษากับครอบครัว มุ่งหน้าสู่เส้นทาง ‘ลูกหนัง’ เต็มตัว ก่อนตัดสินใจเลือกเซ็นสัญญาอาชีพครั้งแรกกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ทีมยักษ์ใหญ่ ในวัยเพียง 18 ปี
อย่างไรก็ตามแม้ว่า กิเลนผยอง จะมีระบบการสร้างเยาวชนที่ชัดเจน แต่ด้วยสถานะของ สารัช ที่ยังเป็น ‘ดาวรุ่ง’ เขาจึงถูกส่งไปเก็บสกิลฝีเท้า กับ ทีมพันธมิตรอย่าง ภูเก็ต เอฟซี ทีมในศึกดิวิชั่น 2 โซนภาคใต้ ด้วยสัญญายืมตัว ในช่วงฤดูกาล 2010-2011 และ ที่แห่งนี้เองทำให้ เด็กหนุ่มอย่างเขารู้จักกับคำว่า ‘ฟุตบอลอาชีพ’ มากยิ่งขึ้น
สารัช เล่าถึงชีวิตขณะนั้นว่า “ตอนนั้นผมยังเด็กมากครับ ผมรู้ว่าเวลาของผม กับ เมืองทอง ไม่ใช่ตอนนั้น ผมจึงอยากไปที่ ภูเก็ต ผมรู้ว่าจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างแน่นอน และ ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ”

“ที่ ภูเก็ต ผมได้เล่นกับคนที่ไม่เคยเล่นด้วยมาก่อน ได้รู้ว่าฟุตบอลอาชีพ กับ บอลนักเรียน แตกต่างกันยังไง และ ยิ่งที่ภาคใต้ เล่นกันหนักมากครับ ก็ทำให้ผมรู้ว่าควรดูแลร่างกายตัวเองยังไง แน่นอนว่า 2 ปีที่นั่น ให้อะไรกับผมหลายอย่าง และ เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ผลักดันผมจนมาถึงวันนี้ครับ”
แต่ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน..
ในขณะที่ สารัช กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง เขากำลังจะมีโอกาสติดทีมชาติไทย ไปลุยศึกซีเกมส์ 2011 และ ถูก เมืองทอง ยูไนเต็ด ดึงกลับมาสู่ทีมชุดใหญ่ ครั้งแรก ในฤดูกาล 2012 แต่เขากลับต้องเจอกับข่าวเศร้าที่สุดในชีวิต เมื่อต้องสูญเสียคุณพ่อ ที่ต้องจากโลกไปก่อนวัยอันควร และ ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขาอย่างปฏิเสธไม่ได้..
โลกของ สารัช เต็มไปด้วยความเศร้า เขาใช้ชีวิตอยู่กับความเคว้งคว้างนานกว่า 2 เดือน ก่อนตั้งสติกลับมาได้ เพราะในช่วงที่ยังมีลมหายใจ ‘คุณพ่อ’ ถือเป็นเบื้องหลังสำคัญที่คอยผลักดันเขาเข้าสู่เส้นทาง ‘ฟุตบอล’ และ อยากเห็นเขาเติบโตเป็น ‘นักฟุตบอลอาชีพ’ ให้ได้ นั่นจึงทำให้เขาตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ‘จะทำให้คุณพ่อที่มองอยู่บนฟ้า ภูมิใจให้ได้’ พร้อมกับทำหน้าที่ ‘เสาหลัก’ ของครอบครัว ไม่ขาดตกบกพร่อง
จากเหตุการณ์วันนั้น ผ่านมา 10 ปี สารัช แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาทำหน้าที่ ‘ลูกของพ่อ’ ได้ดีแค่ไหน
- เขามีโอกาสเดบิวต์ กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ชุดใหญ่ ครั้งแรก เมื่อฤดูกาล 2012 ในเกมที่เปิดบ้านชนะ การท่าเรือ เอฟซี 5-1 และ ทำประตูแรกได้ทันที พร้อมช่วยทีมสร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์ไทยลีก ไร้พ่าย ได้เป็นทีมแรก
- ฤดูกาล 2013 เขาถูกปล่อยไปอยู่กับ นครราชสีมา เอฟซี ด้วยสัญญายืมตัว ในศึกดิวิชั่น 1 ก่อนโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม จนถูก เมืองทอง ยูไนเต็ด ดึงกลับมาอยู่กับทีมตั้งแต่ฤดูกาล 2014 จนถึงฤดูกาล 2020
- จากเด็กสร้างของทีม เขาก้าวสู่กำลังหลัก และ กัปตันทีมของ เมืองทอง ยูไนเต็ด พร้อมช่วยสโมสรประสบความสำเร็จมากมาย ทั้งแชมป์ไทยลีก 2 สมัย , แชมป์โตโยต้า ลีกคัพ 2 สมัย , แชมป์ ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ 1 สมัย และ แชมป์แม่โขง คลับ แชมเปี้ยนชิพ อีก 1 สมัย
- แม้ว่าในฤดูกาล 2017 เขาจะได้รับบาดเจ็บหนัก จนต้องพักยาวกว่า 7 เดือน จนหลายคิดว่าเขาจะ ‘ไม่เหมือนเดิม’ อีกต่อไปแล้ว แต่ สารัช ก็คือ สารัช เขาไม่เคยยอมแพ้ต่อทุกอุปสรรคที่เข้ามา จนกระทั่ง ‘กลับมาได้’ และ มีสถิติลงเล่นให้กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปเกินกว่า 200 นัดรวมทุกรายการ

- ในระดับทีมชาติ เขาเป็นกัปตันช้างศึก U23 คว้าแชมป์ซีเกมส์ ที่สิงคโปร์ ปี 2015 และ ยังเป็นกำลังสำคัญพาทีมชุดใหญ่ คว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ได้ถึง 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 2014 และ 2016 รวมถึง ผ่านเข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย ในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี
และ หลังจาก 11 ปี ภายใต้สีเสื้อ เมืองทอง ยูไนเต็ด สารัช ก็ตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต เมื่อย้ายออกไปอยู่กับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในช่วงตลาดซื้อขายรอบพิเศษ ฤดูกาล 2020 และ ยังแสดงให้เห็นถึงคุณภาพฝีเท้าที่ไม่เคยตกหล่น หลังเป็นกำลังหลักพา เดอะ แรบบิท ผงาดคว้าแชมป์ไทยลีก มาครองได้เป็นครั้งแรกทันที พร้อมสถิติลงเล่น 24 นัด ทำไป 4 แอสซิสต์
ต่อเนื่องถึงการพา บีจี ปทุมฯ ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรก ในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2021 และ ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นป้องกันแชมป์ไทยลีก ในตอนนี้
นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ สารัช อยู่เย็น ในวัย 29 ปี ยังเป็นกำลังสำคัญของ ทีมชาติไทย ที่มีคิวเดินทางไปทวงแมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ที่ประเทศสิงคโปร์ ช่วงปลายปีนี้!


