เบื้องหลังความสำเร็จของ “อินซ์” เชาววัฒน์ วีระชาติ เต็มไปด้วยอุปสรรค และคำดูถูก เพราะหากย้อนกลับไปในวันที่เขาเริ่มเติบโตเป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอลไทย ดาวเตะวัย 25 ปี ต้องเผชิญมาแล้วทุกความกดดันในฐานะ ดาวรุ่งฝีเท้าดี ที่ถูกคาดหวังไว้สูง
เด็กหนุ่มจากจังหวัดเชียงใหม่ เติบโตขึ้นมาจากอคาเดมี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่ไทยลีก ด้วยฝีเท้าที่ไม่ธรรมดาทำให้เขาผ่านการติดทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี และ 19 ปี เชาววัฒน์ถูกดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ของ บรีรัมย์ เมื่อปี 2014 พร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง ณัฐวุฒิ สมบัติโยธา ที่ทั้งคู่เพิ่งทำผลงานได้ดีกับ สุรินทร์ ซิตี้ ในดิวิชั่น 2
แต่ด้วยประสบการณ์ที่ยังน้อยบวกกับสตาร์ดังล้นทีม และเป้าหมายของสโมสรที่ต้องการรักษาแชมป์ไทยลีกอีกสมัย(คว้าแชมป์ ไทยลีก ปี 2013) ทำให้เขายังไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมได้ แต่ในปี 2015 เขามีชื่อเป็นหนึ่งในผู้เล่นชุดลุยศึกซีเกมส์ ที่สิงคโปร์ ซึ่งเต็มไปด้วยดาวรุ่งฝีเท้าจัดอย่าง ทริสตอง โด, สารัช อยู่เย็น, ชนาธิป สรงกระสินธ์, นูรูล ศรียานเก็ม ฯลฯ
โดยซีเกมส์ 2015 กลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่เขาไม่มีวันลืม ไม่ใช่เรื่องความสำเร็จ แต่เป็นเพราะต้องสูญเสียคุณแม่ที่ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น เชาววัฒน์ ต้องลงเล่นด้วยสภาพจิตใจสู้บอบช้ำ แต่เขาสวมวิญญาณนักสู้เพื่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับคุณแม่ก่อนเสียว่า จะทำเต็มที่เพื่อคว้าเหรียญทองกลับมา ซึ่งเขาทำสำเร็จตามที่สัญญา และถือเป็นแชมป์แรกที่ใหญ่ที่สุดในนามทีมชาติไทย
จากดีกรีแชมป์ซีเกมส์ ทำให้ชื่อของ เชาววัฒน์ ถูกจับตามองมากกว่าเดิม เขาถูกคาดหวังสูงในฐานะกองกลางดาวรุ่งเท้าดี แต่ขณะเดียวกันโอกาสลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ บุรีรัมย์ ค่อนข้างสวนทางกับชื่อเสียง เพราะแม้จะมีชื่อในทีมชุดใหญ่ต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่เขามักถูกเปลี่ยนลงไปเล่นในช่วงท้ายเกม โอกาสลงเล่นลดน้อยถอยลงไป
กระทั่งปี 2017 กลายเป็นจุดเปลี่ยนเส้นทางอาชีพนักฟุตบอล เมื่อตัดสินใจอำลาทีมที่สร้างเขามา และย้ายไปอยู่กับ บางกอกกล๊าส เอฟซี (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน) ทำให้มีโอกาสลงสนามมากขึ้น รวมถึงได้ฝึกฝีเท้าเพิ่มเติมจาก ยามาโอกะ ฮานาซากะ อคาเดมี และยังคงมีชื่อติดทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี และคว้าแชมป์ซีเกมส์ 2017 ที่มาเลเซีย
ในปี 2018 ถือเป็นปีแห่งการเก็บประสบการณ์ของเขา เมื่อสโมสรตัดสินใจปล่อยเขาไปค้าแข้งในเจลีก ญี่ปุ่น กับทีมดังอย่าง เซเรโซ โอซากา กับทีมรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี หลังก่อนหน้านี้เคยบินไปฝึกซ้อมกับทีมช่วงสั้นๆ มาแล้วเมื่อปี 2016 โดยถือเป็นแข้งไทยในเจลีกรายที่ 6 ต่อจาก สิทธิโชค ภาโส, ชนาธิป สรงกระสินธ์, จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์, ธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน ซึ่งเป็นปีที่มีนักเตะไทยค้าแข้งในเจลีกมากที่สุด
อย่างไรก็ตามเป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้ ประกอบโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน ยิ่งกว่านั้นชีวิตนอกสนามยังต้องอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางสภาพแวดล้อมใหม่ แต่ก็นับเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นทั้งฝีเท้า และจิตใจ ซึ่งเขาอยู่กับ เซเรโซ จนครบสัญญายืมตัว 1 ปี ก่อนกลับมาเล่นให้ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในปีถัดมา
ในปี 2019 ที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ตกชั้นลงไปเล่นใน M-150 แชมเปี้ยนชิพ เชาววัฒน์ ได้เลงสนามต่อเนื่อง และเป็นกำลังสำคัญในแดนกลางที่พา เดอะ แรบบิท กลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในฐานะแชมป์ไทยลีก 2 แต่การกลับมาหนนี้ของ บีจี ปทุมฯ กลายเป็นที่ฮือฮาในเรื่องการเสริมทัพ โดยเฉพาะตำแหน่งของเขาที่ดึง สารัช อยู่เย็น เข้ามาร่วมทัพ ทำให้ถูกมองว่า โอกาสลงเล่นของเขาจะลดน้อยลงท่ามกลางกระแสเตรียมย้ายออกจาก ลีโอ สเตเดียม เนื่องจากสัญญากำลังจะหมด
แต่แล้วเขาเลือกที่จะสู้ต่อไป เมื่อจรดปากกาต่อสัญญา และพร้อมแย่งตำแหน่งในทีม ซึ่งทำให้เขายังคงได้รับความไว้ใจจาก “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน กุนซือของทีม ก่อนจะช่วยพาสโมสรคว้าแชมป์โตโยต้า ไทยลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ในฤดูกาล 2020 โดยลงเล่นไปทั้งสิ้น 20 เกม และทำ 3 แอสซิสต์ในลีก
เชาววัฒน์ ต่อยอดฟอร์มการเล่นได้ยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2021-22 ที่แม้การแข่งขันในทีมจะสูง แต่ยังคงได้รับโอกาสสม่ำเสมอ โดยลงสนาให้ เดอะ แรบบิท ไปแล้ว 17 เกม ยิง 3 ประตู และทำ 6 แอสซิสต์ รวมทุกรายการ
และผลงานในสนามเป็นเหตุผลมากพอที่ทำให้ มาโน โพลกิ้ง ตัดสินใจใส่ชื่อเขาติดทีมชุดลุยศึกชิงแชมป์อาเซียน 2020 ที่ประเทศสิงคโปร์ ก่อนจะต้องลุ้นติด 1 ใน 23 คน สุดท้ายกับภารกิจทวงแชมป์อาเซียนหนนี้...


