ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกของกีฬา การรักษามาตรฐาน ,ความสม่ำเสมอ และ ยืนระยะ เป็นสิ่งที่ยากที่สุด ที่ผ่านมาเรามักเห็นดาวรุ่งที่พุ่งขึ้นมา แล้วก็ดับไป.. แต่นั่นไม่ใช่กับชายที่ชื่อ ธีรศิลป์ แดงดา หนึ่งในนักฟุตบอล ที่ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จมากที่สุด แต่ยังยืนระยะในฐานะกองหน้า ‘เบอร์หนึ่ง’ ทีมชาติไทย ได้ยาวนานที่สุดมากว่า 10 ปี
จากคำสบประมาท ‘เด็กเส้น’ สู่กองหน้าที่ขาดไม่ได้ของ ทีมชาติไทย นี่คือเส้นทางค้าแข้งของ ‘มุ้ย’ ธีรศิลป์ แดงดา ที่ทำงานหนักอย่างเงียบๆ แล้วปล่อยให้ความสำเร็จพูดแทน..
ย้อนกลับไปวัยเด็ก ธีรศิลป์ เติบโตมาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี ภายใต้สถาบันลูกหนังขาสั้นชื่อดังแห่งนี้ เขาเป็นหนึ่งในเด็กหนุ่มที่มีฝีเท้าโดดเด่นมากที่สุด และ พาทีมคว้าแชมป์นับไม่ถ้วน ก่อนมีโอกาสเริ่มเต้นเส้นทางฟุตบอลอาชีพกับ โรงเรียนจ่าอากาศ ในศึกดิวิชั่น 1 บนวัยเพียง 17 ปี เมื่อฤดูกาล 2005 ต่อด้วย ราชประชา เอฟซี และ เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ขณะนั้นยังเล่นอยู่ในดิวิชั่น 2

กระทั่งในวัย 19 ปี ธีรศิลป์ พบกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาถูก ชาญวิทย์ ผลชีวิน เรียกติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ครั้งแรก พร้อมกับถูกส่งลงประเดิมสนามในเกมอุ่นเครื่องที่เปิดบ้านชนะ กาตาร์ 2-0 และ ยังมีชื่อติดทีมลุยศึก เอเชียนคัพ 2007 รอบสุดท้าย ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เคียงข้างแข้งรุ่นพี่อย่าง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง , ธชตวัน ศรีปาน และ สุธี สุขสมกิจ..
ในขณะที่หลายคนยินดีกับการที่มี ‘ดาวรุ่งดวงใหม่’ ขึ้นมา แต่บางส่วนกลับเต็มไปด้วยคำครหา ที่ต่างสบประมาทว่า ธีรศิลป์ เป็น ‘เด็กเส้น’ ถึงขนาดที่มีข้อความจากแฟนบอลรายหนึ่ง เขียนว่า ไม่มีที่ไหนในโลก เอานักฟุตบอลจาก ดิวิชั่น 2 มาติดทีมชาติชุดใหญ่
"เท่าที่ทราบยังไม่มีประเทศไหนเขาเอานักบอลจากดิวิชั่น 2 มาติดทีมชุดใหญ่เลยนะครับ แค่นี้ก็พอจะมองออกว่าป๋าดันขนาดไหน แล้วพวกที่เล่นดิวิชั่น 1 (อีกหลายสิบ) พวกที่เล่นไทยลีก(ก็อีกหลายสิบคน) มันไม่มีฝีเท้าที่จะเล่นสู้ธีรศิลป์ได้เลยเหรอครับ”
“ไม่ใช่ว่าผมใจแคบนะ แต่ควรทำอย่างเป็นระบบมากกว่านี้ อย่างมากเขาได้ติดทีมชุดซีเกมส์ก็พอแล้ว" ตัวอย่างความเห็นจากแฟนบอลรายหนึ่ง ที่ตั้งคำถามถึงการติดทีมของ ธีรศิลป์ ผ่านเว็บไซต์ชื่อดังในอดีต Thailandsusu
ท่ามกลางคำ ‘ดูถูก’ ที่เกิดขึ้น ธีรศิลป์ ที่เรารู้จักในวันนี้ ก็เป็นเหมือนในวันนั้น.. เขาเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก เขาเลือกที่จะไม่สนใจ และ โฟกัสแต่เพียงเรื่องในสนามฟุตบอลเท่านั้น
กระทั่งในปีเดียวกัน ธีรศิลป์ ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตอีกครั้ง เมื่อเขาเป็น 1 ใน 3 นักฟุตบอลไทย ร่วมกับ สุรีย์ สุขะ และ เกียรติประวุฒิ สายแวว ที่ได้เซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในยุคของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย
แม้จะไม่มีโอกาสลงเล่นแม้แต่นาทีเดียว เพราะติดปัญหาเรื่องเวิร์คเพอร์มิต และ ถูกปล่อยยืมไปอยู่กับทีมสำรองของ กราสชอปเปอร์ ซูริค ในสวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็ถือเป็นก้าวย่างครั้งสำคัญที่สุดของเขา และ เปิดโลกความฝันค้าแข้ง ‘ต่างแดน’ ครั้งแรก
หลังจบโครงการกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นเวลา 1 ปี ธีรศิลป์ ย้ายกลับมาค้าแข้งที่ไทยกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด อีกครั้ง ในฐานะน้องใหม่ ที่เพิ่งเลื่อนชั้นสู่ศึกไทยลีก ครั้งแรก เมื่อฤดูกาล 2009 ก่อนพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นเป็นประจักษ์ว่า ที่ผ่านมาเขาคือ ‘ของจริง’ ไม่ใช่ ‘เด็กเส้น’
ธีรศิลป์ สลัดคราบดาวรุ่งกลายเป็น ‘ไอค่อน’ และ สตาร์เบอร์หนึ่งของวงการฟุตบอลไทยเต็มตัว เขาเป็นกองหน้าที่มีฝีเท้าเจนจัด และ ครบเครื่องมากที่สุดคนหนึ่งจากการยิงประตูได้ทุกรูปแบบ , ตลอด 12 ปี ในสี้เสือ กิเลนผยอง เขายิงไปถึง 166 ประตู จาก 362 นัดรวมทุกรายการ เป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีม พร้อมช่วยทีมคว้าแชมป์ไทยลีก ได้ถึง 4 สมัย , โตโยต้า ลีกคัพ 2 สมัย , ถ้วยพระราชทาน ก.1 สมัย , ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์คัพ 1 สมัย และ แม่โขง คลับ แชมเปี้ยนส์ชิพ 1 สมัย..
นอกจากประสบความสำเร็จมากมายในไทยแล้ว ธีรศิลป์ ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่มีโอกาสย้ายออกไปค้าแข้งต่างประเทศ (อีกครั้ง) ทั้งที่ยุโรป และ เอเชีย

เริ่มจาก ฤดูกาล 2014 ธีรศิลป์ ย้ายไปอยู่กับ อัล เมเรีย แม้จะไม่มีโอกาสลงเล่นมากนัก แต่เขาก็กลายเป็นนักเตะไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีโอกาสลงเล่นในลีกสูงสุด สเปน และ เป็นคนแรกที่ทำประตูได้ในฟุตบอลถ้วย ถ้วย โกปา เดล เรย์ ของสเปน
ฤดูกาล 2019 ธีรศิลป์ ย้ายไปอยู่กับ ซานเฟรชเช ฮิโรชิมา ก่อนกลายเป็นนักเตะไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ทำประตูได้ในศึก เจลีก ญี่ปุ่น พร้อมช่วยทีมจบถึงตำแหน่งรองแชมป์
ฤดูกาล 2020 ธีรศิลป์ ในวัย 31 ปี ย้ายกลับไปเล่นที่เจลีก ญี่ปุ่น อีกครั้ง กับ ชิมิสุ เอสพัลส์ ด้วยสัญญาถาวร (ครั้งแรก) ที่สโมสรมอบไว้ ก่อนลงเล่นไป 24 นัด ยิง 3 ประตู
จากนั้น ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งในแง่โอกาสลงเล่นเป็นตัวหลักที่ไม่สม่ำเสมอ และ สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้ ธีรศิลป์ ตัดสินใจย้ายจาก ชิมิสุ เอสพัลส์ กลับมาค้าแข้งไทยอีกครั้งกับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ช่วงตลาดซื้อขายรอบพิเศษ ในฤดูกาล 2020 และ มีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ไทยลีก มาครองได้เป็นครั้งแรกทันที ต่อเนื่องถึงซีซั่นนี้ ที่ ธีรศิลป์ ในวัย 33 ปี ยังโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม ยิงไปแล้ว 5 ประตู จาก 12 นัดในลีก
ส่วนเส้นทางกับทัพ ช้างศึก ธีรศิลป์ ล้มลุกคลุกคลาน ผ่านร้อนผ่านหนาวกับทีมมาตั้งแต่ยุคตกต่ำ จนถึง ประสบความสำเร็จ เขาผ่านทุกทัวร์นาเนนต์สำคัญ และ ไม่เคยปฏิเสธโอกาสจาก ‘ทีมชาติ’ กระทั่งปัจจุบัน เขาเป็นเพียง 1 ใน 4 คน ที่มีโอกาสลงเล่นให้ทีมถึง 100 นัด ที่สำคัญ ยังรั้งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลอันดับ 4 ด้วยผลงาน 47 ประตู และ เชื่อว่าเขายังไม่หยุดเพียงเท่านี้
ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ มาโน โพลกิ้ง จะไม่ใส่ชื่อ ธีรศิลป์ แดงดา ไปลุยศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ที่ประเทศสิงคโปร์ พร้อมบทบาทกองหน้าความหวังสูงสุด เหมือนที่เราคุ้นเคยตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา..


