ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ฉัตรชัย บุตรพรม มีชีวิตลูกหนังที่รุ่งโรจน์ต่อเนื่อง ทั้งในระดับสโมสร ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กับทั้ง ลีโอ เชียงรายฯ ต่อเนื่องกับ บีจี ปทุมฯรวมถึงกับ ทีมชาติไทย ที่เป็นขาประจำต่อเนื่อง จนสถาปนาตัวเอง เป็นหนึ่งในมือกาวระดับแถวหน้าของประเทศอย่างทุกวันนี้
ภายใต้ฉากหน้าที่ดูสวยงาม ใครจะรู้ว่าชีวิตวันวานของ ฉัตรชัย บุตรพรม กว่าจะมีวันนี้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ทุกคนเห็น..
นั่งไทม์แมชชีน ย้อนกลับไปวัยเด็ก ใครจะเชื่อว่า ฉัตรชัย ไม่ได้เริ่มเล่นตำแหน่ง ผู้รักษาประตู แต่เขาเล่นในตำแหน่ง ‘มิดฟิลด์’ เป็นส่วนใหญ่ จากการที่ส่งทีมเข้าแข่งขันกับเพื่อนๆ ที่จังหวัดกำแพงเพชร แต่แล้วเหมือน โชคชะตาฟ้าลิขิต ให้เขาเกิดมาเป็น ‘ผู้รักษาประตู’ เท่านั้น
ฉัตรชัย ผ่านการคัดตัวเข้าสู่ โรงเรียนกีฬาจังหวัดนครสวรรค์ ในตำแหน่ง ‘ผู้รักษาประตู’ ตั้งแต่ชั้น ม.1 แม้นั่นจะเป็นการเข้าสู่ถนนสายลูกหนังตามความฝันเต็มตัว ทว่าชีวิตระหว่างนั้น ก็ไม่ได้เป็นดั่งใจอย่างที่คิด
เด็กหนุ่มจากกำแพงเพชร เกือบไม่ได้เข้าศึกษาที่ โรงเรียนกีฬาจังหวัดนครสวรรค์ เพราะฐานะทางบ้านยากจน พ่อ กับ แม่ ทำอาชีพค้าขาย ไม่มีแม้กระทั่งเงินให้ไปใช้ แต่ ‘เพื่อลูก’ ทั้งคู่จึงกัดฟันไปยืมเงินเพื่อนมาให้ โดยที่ไม่ได้บอกให้ ฉัตรชัย รู้ในขณะนั้น จนทำให้เขามีโอกาสเข้าไปเรียนในที่สุด
ส่วนชีวิตช่วงแรก ฉัตรชัย ก็เจอกับบททดสอบจิตใจมากมาย โดยเฉพาะสิ่งที่นักฟุตบอลทุกคนเกลียดที่สุด นั่นคือการเป็นได้แค่ ‘สำรอง’ กินเวลาไปกว่า 1 ปีเต็มๆ เพราะเบสิค และ พื้นฐาน ไม่สู้เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ..
แต่ในเมื่อ ‘ชีวิตเกิดมาสู้’ ทำให้ ฉัตรชัย ไม่เคยยอมแพ้ เขาพยายามมุ่งมั่นฝึกซ้อมอย่างหนัก โฟกัสในหน้าที่ และ อดทนรอโอกาสของตัวเอง.. กระทั่งเข้าสู่ชั้น ม.2 เขาขึ้นมายึดตำแหน่ง ‘มือหนึ่ง’ ของทีมได้สำเร็จ ไปจนจบชั้น ม.6 รวมถึง ยังมีโอกาสลงเล่นในศึก โปรวิเชียลลีกกับทีม นครสวรรค์

หลังจากนั้น กราฟชีวิตลูกหนังของ ฉัตรชัย พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากมีโอกาสโชว์ฝีมือในศึก โปรวิลเชียลลีก ตั้งแต่อายุ 17 ปีแล้ว เขายังมีโอกาสติด ‘ทีมชาติไทย’ ครั้งแรก ในชุดนักเรียนไทย 18 ปี ที่สำคัญ ยังถูก โอสถสภาฯ อดีตสโมสรระดับตำนานของไทย เล็งเห็นแวว จ่ายเงินเดือนล่วงหน้า (3,000 บาท/เดือน) เพื่อเซ็นสัญญาไปร่วมทีมด้วย
อย่างไรก็ตามจากก้าวกระโดดที่ใหญ่ขึ้น ก็ทำให้ ฉัตรชัย เผชิญกับบททอดสอบจิตใจครั้งสำคัญอีกครั้งในฐานะ ‘นักฟุตบอลอาชีพ’ เต็มตัว
ฉัตรชัย เข้าสู่รั้ว ‘พลังเอ็ม’ ในฐานะดาวรุ่งวัยเพียง 19 ปี เขารู้ดีว่าในแง่ประสบการณ์ และ ฝีมือ ยังเป็นรองผู้รักษาประตูรุ่นพี่ในทีม แต่ก็ไม่คิดว่าต้องรอคอยโอกาสนานถึง 5 ปี กว่าจะมีโอกาสเฝ้าเสามากขึ้น หลังจาก ไพโรจน์ บวรวัฒนดิลก ขึ้นมาเป็นเฮดโค้ช และ เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่าเขาสู้แค่ไหน กับ ทุกสถานการณ์ที่เจอ..
แม้ตลอด 10 ปี ที่อยู่กับ โอสถสภาฯ ฉัตรชัย จะไม่สามารถช่วยทีมคว้าแชมป์ใดๆ มาครองได้เลย แต่เขาก็ถูกจดจำในฐานะ ‘ลูกหม้อ’ ที่ก้าวขึ้นมาเป็น ‘ตำนาน’ คนหนึ่ง ก่อนตัดสินใจย้ายออกไปอยู่กับ ลีโอ เชียงรายฯ เจ้าบุญทุ่มในขณะนั้น เพื่อหาความสำเร็จ และ ความท้าทายใหม่ๆ ในฤดูกาล 2017
ช่วงแรก เขาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บหนัก จนต้องพักนานถึง 7 เดือน แต่ ‘ฉัตรชัย’ ก็ยังเป็น ‘ฉัตรชัย’ ที่เรารู้จัก.. เมื่อ ‘เขากลับมาได้’ ก่อนสร้างตำนานให้กับตัวเอง และ ทีมอย่างยิ่งใหญ่ จากการมีส่วนสำคัญพา กว่างโซ้งมหาภัย คว้าแชมป์ไปถึง 4 รายการ ตลอด 2 ปีที่อยู่กับทีม ก่อนย้ายไปอยู่กับ บีจี ปทุมฯ ในฤดูกาล 2019 ที่ขณะนั้นแม้ว่าทีมจะตกชั้นลงไปเล่นในศึก ไทยลีก 2 แต่เขาก็เชื่อมั่นว่า ‘คิดไม่ผิด’
ฉัตรชัย ใช้ ‘เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์’ และ แสดงให้เห็นว่า ‘คิดไม่ผิด’ จริงๆ เขาใช้เวลาเพียง 2 ปี พา เดอะ แรบบิท ครองความยิ่งใหญ่ได้ในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เริ่มจากพาทีมกลับสู่ลีกสูงสุดภายในปีเดียว ในฐานะ แชมป์ไทยลีก 2 ต่อด้วย ผงาดคว้าแชมป์ ไทยลีก เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
พร้อมสถิติเก็บคลีนชีตไปได้มากที่สุดถึง 19 นัด และ เสียเพียง 13 ประตูน้อยที่สุดในลีก รวมถึง ยังพาทีมผ่านเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกด้วย...
ปัจจุบัน ฉัตรชัย ในวัย 34 ปี ยังรักษามาตรฐานของตัวเองได้ยอดเยี่ยม ยืนเป็นปราการด่านสุดท้ายที่เพื่อนๆ อุ่นใจ และ ยังเป็นผู้รักษาประตู ‘สมัยใหม่’ ที่ใช้เท้าเล่นได้ดี - นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่จอมหนึบจาก บีจี ปทุมฯ รายนี้ จะมีโอกาสติด ทีมชาติไทย ไปลุยศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 (อีกครั้ง) เพื่อลบแผลใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน...


