“ยอมรับตามตรง ผมเคยต้องการเล่นให้ทีมชาติไทย เพราะผมอยู่ที่นี่มาก็เกือบ 10 ปีแล้ว”
ประโยคข้างต้นจากปาก ดักโน เซียกา แสดงให้เห็นถึงความรักของเขาที่มีต่อฟุตบอลเมืองไทย มีนักเตะต่างชาติเพียงไม่กี่คนที่จะประสบความสำเร็จจนกลายเป็นตำนานไทยลีก และหลงรักฟุตบอลไทยถึงขั้นอยากลงเล่นในฐานะนักเตะทีมชาติไทย
ดักโน เซียกา ชื่อนี้อาจคุ้นหูแฟนบอลไทยในปัจจุบัน แต่เมื่อย้อนกลับไปสมัยที่ดาวเตะชาวไอวอรีโคสต์ ย้ายมาเล่นในไทยครั้งแรก หากเอ่ยชื่อของเขาก็คงไม่มีใครรู้จัก ดักโน เริ่มต้นค้าแข้งอาชีพกับ เซเว สปอร์ต เดอซานเปโดร สโมสรในบ้านเกิดก่อนเก็บกระเป๋าย้ายมาค้าแข้งในประเทศไทยกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ช่วงปี 2008 เส้นทางของเขาไม่ต่างกับนักเตะจากทวีปเดียวกันที่ต้องการสร้างชีวิตด้วยฟุตบอล
Gettyยุคนั้นนักเตะจากกาฬทวีป ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะค่าเหนื่อยไม่แพง แต่มีคุณภาพ ดังนั้นการย้ายเข้ารัง กิเลนผยอง สโมสรตั้งความหวังในตัวเขาไม่น้อย เพราะ เมืองทองฯ ในเวลานั้นยังอยู่ในยุคเริ่มต้นบนลีกอาชีพที่กำลังฝ่าฟันอยู่ในดิวิชั่น 1 เดิม
เขาสร้างความประหลาดใจให้กับสโมสรเมื่อแทบไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวก็สามารถเล่นร่วมกับทีมได้ดี นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นกำลังหลักพาทีมสร้างประวัติศาสตร์เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดครั้งแรกในปี 2009 ก่อนจะต่อยอดความสำเร็จเมื่อยังสามารถคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ทันทีตั้งแต่ปีแรกที่เลื่อนชั้น กับผลงานยิง 10 ประตู รั้งอันดับ 3 ทำเนียบดาวซัลโวในฤดูกาลนั้น
หลังประสบความสำเร็จบนลีกสูงสุด สโมสรมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทีม ผู้เล่นฝีเท้าดีมีชื่อเสียงทั้งคนไทย และต่างชาติถูกคว้ามาเสริมทัพไปพร้อมๆกับมาตรฐานของ เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ยกระดับสู่ยักษ์ใหญ่ไทยลีก แต่ ดักโน เซียกา ยังคงยืนโดดเด่นในแผงมิดฟิลด์ และเป็นตัวเลือกแรกเสมอ รวมถึงได้รับโอกาสสวมปลอกแขนกัปตันทีมอีกด้วย
Goal Thailandสำหรับ ดักโน เมืองทองฯ เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง เขาลงเล่นด้วยความทุ่มเทเกินร้อยเสมอ และกลายเป็นขวัญใจแฟน กิเลนผยอง โดยปี 2010 ดักโน มีส่วนนำต้นสังกัดป้องกันแชมป์ไว้ได้ ซึ่งถือเป็นแชมป์ไทยลีกสมัยที่ 2 ของเขากับสโมสร แต่ปีถัดมากลับต้องเสียแชมป์ให้ บุรีรัมย์ พีอีเอ ทีมคู่แค้นที่เริ่มต้นสร้างความยิ่งใหญ่เป็นมหาอำนาจลูกหนังทีมใหม่ของไทย
อย่างไรก็ตามในปี 2012 นับเป็นปีที่ กิเลนผยอง ทวงคืนบัลลังก์แชมป์อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยขุมกำลังผู้เล่นชั้นยอดที่ประสานงานกันยอดเยี่ยม แดนกลางมี ดักโน เซียกา ยืมบัญชาเกม โดยเฉพาะการมาของ มาริโอ ยูรอฟสกี้ ที่เข้ามาเติมเต็มได้อย่างลงตัว ภายใต้การคุมทัพของ สลาวิซา โยคาโนวิช กุนซือชาวเซอร์เบีย
ตลอดทั้งฤดูกาล 2012 ดักโน ลงเล่นให้ กิเลนผยอง ต่อเนื่องเขาคือฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ทีมมีผลงานติดลมบน ท้ายที่สุดจากการลงเล่น 34 นัด ดักโน ช่วยเมืองทอง เก็บชัยชนะ 25 เสมอ 9 ไม่เคยแพ้ใคร พร้อมทวงคืนบัลลังก์แชมป์อย่างยิ่งใหญ่จาก บุรีรัมย์ ในฐานะแชมป์ไร้พ่ายทีมแรก นอกจากนี้เขายังลงเล่นให้ทีมครบ 100 นัด และถูกยกย่องเป็นตำนานสโมสร
เกือบ 7 ปี ในสีเสื้อ เมืองทองฯ ดักโน ช่วยทีมคว้าแชมป์ไทยลีก 3 สมัย เขากลายเป็นแข้งเนื้อหอมได้รับความสนใจทั้งทีมในลาลีกา สเปน, เจลีก ญี่ปุ่น และไชนีสลีก ของจีน แต่ท้ายที่สุดเป็น เพื่อนตำรวจ ที่บรรลุข้อตกลงเซ็นสัญญากับเขาช่วงกลางปี 2014 แต่โชคร้ายที่ต้องตกชั้นสู่ยามาฮ่า ลีก วัน ในฤดูกาลถัดมา
เพื่อนตำรวจโดยระหว่างนั้นด้วยความรักที่มีต่อฟุตบอลไทย ดักโน คุ้นเคยกับวัฒนธรรม ภาษาที่พูดไทยคล่องปร๋อ ทำให้เขาพยายามขอสัญชาติไทยเพื่อลุ้นโอกาสติดทัพช้างศึก เนื่องจากอยู่เมืองไทยมานานกว่า 10 ปี
“หากผมขอสัญชาติไทยได้จริงๆ และทีมชาติไทยต้องการให้ผมรับใช้ ผมก็พร้อมเสมอที่จะลงเล่นให้กับประเทศที่ผมรัก” ดักโน ให้สัมภาษณ์ผ่าน โกล ประเทศไทย แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ปี 2016 ขอนแก่น ยูไนเต็ด เจ้าบุญทุ่มแห่งลีกรอง เปิดตัว ดักโน ร่วมทัพ แบบเซอร์ไพรส์ เพื่อช่วยทีมล่าตั๋วไทยลีก ทว่าเขากลับโชคร้ายเมื่อได้รับบาดเจ็บหนักตั้งแต่ยังไม่เปิดซีซั่น แม้มีข่าวพร้อมสลัดอาการเจ็บลงสนาม แต่ก็มาเจ็บซ้ำๆ จนร้างสนามไปนาน ซึ่งช่วงเวลานั้นเขายอมรับว่า หนักที่สุดตลอดชีวิตนักฟุตบอลในเมืองไทย และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มหันไปจับงานโค้ชแทน
ดักโน ย้ายกลับเมืองหลวงเซ็นสัญญากับ บางกอก เอฟซี ในบทบาทโค้ชแอนเพลเยอร์ แต่ด้วยอาการเจ็บที่เรื้อรังประกอบกับอายุที่มากขึ้น เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปี 2017 ปิดฉากหนึ่งในกองกลางต่างชาติที่ดีที่สุดในไทยลีก
Goal Thailandปัจจุบัน ดักโน เซียกา รับบทผู้ช่วยผู้ฝึกสอนของ มาริโอ ยูรอฟสกี้ อดีตเพื่อนร่วมทีมตำนาน เมืองทองฯ ที่ผนึกกำลังสร้าง กิเลนผยอง ยุคใหม่ด้วยรูปแบบการเล่นที่น่าสนใจพร้อมผลงานที่ดีขึ้นผิดหูผิดตา
แม้จะปิดฉากเส้นทางค้าแข้งไม่สวยงามนัก แต่วันนี้ ดักโน เซียกา กลับสู่บ้านหลังเก่า และพยายามถ่ายทอด DNA กิเลนฯสู่แข้งรุ่นใหม่เพื่อหวนคืนความสำเร็จเหมือนยุคสมัยของเขาที่เคยสร้างชื่อ และตำนานอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง


