นอร์เวย์ กำลังเข้าใกล้ฟุตบอลโลก 2026 หลังคว้าชัย 5 นัดรวดในรอบคัดเลือก ภายใต้การนำของ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ดาวยิงฟอร์มแรงจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นำเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม และมีโอกาสจบการรอคอยกว่า 26 ปีเพื่อกลับสู่เวทีใหญ่ระดับโลก
แต่เกมคืนนี้ (11 ตุลาคม) กับ อิสราเอล ที่อุลเลวาล สเตเดียม เมืองออสโล ไม่ได้มีแค่ความหมายในสนาม เพราะมันกำลังกลายเป็น แมตช์ที่ร้อนแรงที่สุดทางการเมืองในโลกฟุตบอลตอนนี้
สมาคมฟุตบอลนอร์เวย์ (NFF) ประกาศแล้วว่า รายได้ทั้งหมดจากเกมนี้จะถูกบริจาคเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา โดย ลิซา คลาฟเวเนส ประธานสมาคมฯ กล่าวว่า “เราไม่อาจนิ่งเฉยต่อความทุกข์ของผู้คนได้”
เธอยังเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ในเมื่อรัสเซียถูกแบนเพราะบุกยูเครน ฉันเชื่อว่าอิสราเอลก็ควรถูกตัดสิทธิ์เช่นกัน” ท่าทีที่ชัดเจนและแรงที่สุดในยุโรปจนสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่ววงการ
ทางด้าน อิสราเอล แสดงความไม่พอใจอย่างหนัก ถึงขั้นออกแถลงเหน็บ นอร์เวย์ ว่า
“หวังว่าเงินที่ได้จากเกมนี้ จะไม่ถูกส่งให้กลุ่มก่อการร้าย หรือเอาไปล่าวาฬ”
นอกจากแถลงเรื่องเงินแล้ว ฝั่งอิสราเอลยังระบุว่า ต้องการ “สามแต้ม” ในเกมนี้ แม้เรื่องนอกสนามจะดราม่า แต่ในสนามก็ต้องเล่นให้เต็มที่เพื่อโอกาสผ่านเข้ารอบคัดเลือกโลก
ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเกมนี้ตรงกับช่วงครบรอบ 2 ปีเหตุโจมตีจากฮามาสเมื่อ 7 ตุลาคม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามที่ยังคงดำเนินต่อมา และมีผู้เสียชีวิตในกาซามากกว่า 60,000 คนตามรายงานของหน่วยงานท้องถิ่น
นอร์เวย์ถือเป็นชาติยุโรปไม่กี่ประเทศที่ออกมาแสดงจุดยืนอย่างเปิดเผย โดยรัฐบาลนอร์เวย์ได้ประกาศรับรอง 'รัฐปาเลสไตน์' อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลถึงขั้น 'แตกหัก'
ขณะเดียวกัน กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของนอร์เวย์มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านปอนด์ ยังได้ถอนการลงทุนจากบริษัทอิสราเอล 11 แห่งด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม
ทางสมาคมฟุตบอลนอร์เวย์ยืนยันว่า แม้จะมีแรงกดดันทางการเมือง พวกเขาจะยังลงเล่นตามตารางปกติ แต่จะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ทั้งลดความจุสนามลง 2,500 ที่นั่ง และตรวจสอบป้าย/ธงของแฟนบอลทุกผืนก่อนเข้าสนาม
“เราอนุญาตให้ถือธงปาเลสไตน์ขนาดเล็กได้ แต่ขอให้ทุกคนเคารพและทำให้เกมนี้ปลอดภัย เกมนี้คือฟุตบอล ไม่ใช่เวทีประท้วงทางการเมือง” แถลงการณ์ของ NFF ระบุ
แม้จะเป็นเพียงเกมรอบคัดเลือก แต่ นอร์เวย์ vs อิสราเอล กลายเป็นมากกว่าเกมฟุตบอลธรรมดา — มันคือการเผชิญหน้าระหว่าง “ลูกหนังกับการเมืองโลก” ที่ทั้งโลกจับตามอง
