เจ-วรปัฐ อรุณภักดี

คุยกับ เจ-วรปัฐ อรุณภักดี : เมื่อนักพากย์บอลไทยไม่ใช่แค่เสียงดีหรือข้อมูลแน่น

“เริ่ม Battle” นี่คือประโยคที่แฟนฟุตบอลไทยคุ้นเคยดี จากน้ำเสียงของ เจ-วรปัฐ อรุณภักดี ผู้สื่อข่าว, ผู้บรรยายฟุตบอล และเจ้าของช่อง Think Curve - คิดไซด์โค้ง ผ่านการพากย์ฟุตบอลทั้งระดับไทยลีกจนถึงเกมระดับทีมชาติ

เขาคือหนึ่งในนักพากย์ชั้นนำของไทยในยุคปัจจุบัน กับลีลาการพากย์อันเป็นเอกลักษณ์ที่หลายคนชื่นชอบ และในตอนนี้ ถึงเวลาที่เขาจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฟ้นหานักพากย์หน้าใหม่ไทยลีกในโครงการ Voice of Thai League เสียงใหม่ไทยลีก จากการร่วมมือกันของ คิดไซด์โค้ง และ Thai League

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเป็นเสียงใหม่ไทยลีก เจ-วรปัฐ จะนำประสบการณ์ตรงมาบอกเล่าพร้อมเคล็ดลับดีๆ เพื่อให้คุณก้าวสู่การเป็นนักพากย์อาชีพตามความฝัน

โกล ประเทศไทย: ในมุมของคุณ จุดเริ่มต้นการเป็นผู้บรรยายฟุตบอลต้องเริ่มจากอะไร?

เจ-วรปัฐ: เส้นทางผู้บรรยายส่วนใหญ่มีอยู่สองเส้นทางคือเข้าไปเป็นผู้บรรยายโดยตรง และมาจากการเป็นนักข่าวแล้วขึ้นไปเป็นผู้บรรยาย ส่วนใหญ่เส้นทางหลักจะโตมาจากการเป็นนักข่าวหรือคอลัมนิสต์ที่จะขึ้นมาเป็นผู้บรรยายได้ เพราะต้องมีความคุ้นเคย และอยู่กับมัน 

ส่วนของผมมาในเส้นทางที่เป็นผู้สื่อข่าวมาก่อน ได้อยู่กับฟุตบอล ได้มีโอกาสบรรยายเกม มันเป็นจังหวะจับพลัดจับผลูซะมากกว่า เพราะทุกคนมีความฝันอยากเป็นผู้บรรยายฟุตบอลกันหมดไม่ว่าจะทำอาชีพสาขาไหนก็ตาม เพราะส่วนใหญ่คนชอบกีฬา เวลานั่งดูหรือสมัยยังเด็กที่นั่งเล่นเกมฟุตบอลเป็นธรรมดาที่คุณจะเล่น และพากย์ไปด้วย

แรงบันดาลใจในการเป็นนักพากย์มันก็มาจากนักพากย์รุ่นพี่นี่แหละ คอยศึกษาว่า เขาพากย์ยังไง ถ้าเราอยากทำมัน ซึ่งเราก็ได้เข้าใจว่า ส่วนใหญ่เขามาจากการเป็นผู้สื่อข่าวกันหมด มันเลยกลายเป็นความคิดของคนที่อยากเป็นผู้บรรยายกีฬาว่า อยากจะเป็นนักข่าวกัน บางคนอาจไม่ได้สนใจงานด้านนี้ แต่มันมีโอกาสที่จะได้ทำ ด้วยความที่มันเป็นฟุตบอลไทย ส่วนใหญ่เขาก็จะเอาผู้สื่อข่าวที่ทำงานตรงนั้นมาพากย์ เพราะมองว่า อย่างน้อยคุณก็มีความรู้พื้นฐาน รู้จักนักฟุตบอล รู้จักสโมสรหรือผู้บริหารทีม คุ้นเคยข้อมูลของทีมที่น่าจะง่ายกว่า 

เจ-วรปัฐ อรุณภักดี

โกล ประเทศไทย: พากย์ไม่ถูกใจแฟนบอล โดนวิจารณ์หนัก คุณเคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้หรือไม่ และนักพากย์ควรรับมืออย่างไร?

เจ-วรปัฐ: จริงๆ มันคนละศาสตร์ ระหว่างผู้บรรยายกับผู้สื่อข่าว ไม่ได้หมายความว่า ผู้สื่อข่าวทุกคนจะสามารถขึ้นมาบรรยายการแข่งได้ มันต้องใช้ความสามารถพิเศษ คนพากย์ได้กับพากย์ดีก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมันก็ตอบยากอีก เพราะในความรู้สึกเรา เราบอกว่าพากย์ดี แต่คนที่ฟังเขาอาจมองว่า ก็แค่พากย์ได้ไม่ได้พากย์ดี หรืออีกคนก็อาจจะมองต่างออกไป มันเป็นเรื่องของรสนิยมมากกว่า เรื่องพวกนี้เลยกลายเป็นที่ถกเถียงในโซเชียลว่า ไม่ชอบคนนั้นคนนี้พากย์เลย จริงๆ มันเป็นเรื่องปกติมาก เพราะเป็นเรื่องของรสนิยม

การรับมือมันก็มีอยู่สองส่วนคือ เราต้องอยู่กับมันให้ได้กับสองคือปล่อยผ่านไปเลย หมายถึงคุณไม่ต้องสนใจอะไร แต่มันเป็นไปได้ยากที่เราจะไม่เห็นข้อความเหล่านั้น เพราะในโลกโซเชียลมีเดียมันอยู่ใกล้มือเรา จะไม่เห็นเลยคงเป็นไปไม่ได้ คนใกล้ตัวอาจมีส่งมาให้คุณดูก็ได้ จริงๆ วิธีการรับมือของผม ผมจะเข้าไปดูแล้วอ่าน ถ้ามีเวลาว่างก็อาจจอมสักหน่อยสำหรับคอมเมนต์ที่ไม่ได้สร้างสรรค์ เข้ามาคอมเมนต์เพื่ออยากจะด่าเฉยๆ ไม่ได้มีการแนะนำติติงอะไร

โกล ประเทศไทย: จากประสบการณ์ของคุณ ความผิดพลาดในการพากย์เกิดขึ้นจากสาเหตุใดได้บ้าง 

เจ-วรปัฐ: ก็มีหลายจุดนะที่มันอาจจะผิดพลาด ไม่ได้ดีเหมือนกับที่คนดูคิด อย่างผู้บรรยายทำการบ้านมาไม่เพียงพอ หรืออาจจะทำการบ้านมา แต่ไม่ได้มีจังหวะที่จะพูด ด้วยความที่ฟุตบอลไทยไม่ได้มี Production ที่ดีพอจะถ่ายทำให้เราได้เล่าเรื่องเหมือนเมืองนอก ที่กล้องจับไปที่ผู้รักษาประตูมือ 2 แล้วกล้องจับไปที่ม้านั่งสำรองไปจับผู้รักาาประตูมือ 1 มันไม่ได้เล่าเรื่องว่าเหตุการณ์นี้ทำไมมีที่มาที่ไปจากคนๆ นี้ มีอะไรเกี่ยวข้องกันบ้าง ซึ่งมันสามารถเล่าเรื่องได้ดี และทำให้การทำการบ้านของผู้บรรยายฟุตบอลเมืองทองราบรื่นกว่า เพราะภาพถ่ายทอดมันราบรื่นกว่าด้วย

มันสามารถเดาทางได้ว่า วันนี้จะเตรียมอะไรบ้าง หรือบางครั้งไม่ได้เตรียม แต่ภาพที่ถ่ายมันเล่าเรื่องได้ทำให้ไหลไปตามสถานการณ์ได้ แต่ฟุตบอลไทยไม่ได้เป็นแบบนั้น เกมหยุดสกัดกันล้มลงไป แต่ยังไม่ได้เห็นเลยว่า สุดท้ายต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร อยู่ดีๆ ก็ไปจับผู้หญิงนอกสนามซะงั้น มันก็เป็นเรื่องปกติของ Production แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้าง

ข้อมูลของฟุตบอลไทยมันไม่ได้หาสถิติได้แบบฟุตบอลนอกที่มีการเก็บมาอย่างยาวนาน ความใส่ใจมันต่างกัน ฟุตบอลไทยมันอยู่ที่เรื่องของความจำ เรื่องของเหตุการณ์ ถ้าอยู่กับมันก็จะได้ชุดข้อมูลที่ต้องใช้ความจำสูงมาก

โกล ประเทศไทย: สิ่งสำคัญที่ที่นักพากย์ต้องมีสำหรับการบรรยายฟุตบอลไทย

เจ-วรปัฐ: ถ้าเป็นฟุตบอลไทยความสามารถแรกๆ ที่ต้องมีคือเรื่องอรรถรส เสียง ที่เป็นเอกลักษณ์ สำหรับผมเรื่องข้อมูลสถิติต่างๆ ตามมาเป็นอันดับสอง ส่วนอันดับแรกเป็นเรื่องกติกามากกว่า เพราะองค์ความรู้ของคนดูฟุตบอลบ้านเราไม่ได้เหมือนฟุตบอลนอก บ้านเราจะมีคอมเมนต์ในโซเชียลเน้นด่าเอามัน บางทีเข้าใจแล้ว แต่แค่อยากสร้างสถานการณ์ให้เกิดความเข้าใจผิด มันก็เป็นเรื่องอคติในโลกออนไลน์ 

เรื่องกติกาในมุมของผม เราจะไปชี้นำมันยาก แต่ดีอย่างหนึ่งถ้าเราแข็งแรงในเรื่องกติกา อย่างน้อยเวลาบรรยายเราจะสามารถชี้ได้ว่า จะเกิดได้กี่สถานการณ์ สุดท้ายก็โยนความกดดันไปที่ผู้ตัดสินว่า เขาเลือกแบบไหนได้บ้าง ถ้าเขาเลือกช็อตนี้ไปแล้ว เราก็ทำอะไรไม่ได้ ก็บอกได้แค่ว่า เป็นการตัดสินของผู้ตัดสินที่มองเคสนี้เป็นแบบนี้

จริงๆ การทำงานของผู้ตัดสินกับ VAR มันเป็นเรื่องทีมเวิร์ค บางทีไม่ได้ทำงานร่วมกัน หมายความว่า เขาทำงานร่วมกันได้ แต่ไม่ได้ถูกฝึกมาด้วยกัน อย่างต่างประเทศน้อยครั้งที่ผู้ตัดสิน และผู้ช่วยผู้ตัดสิน VAR จะเป็นคนละทีม เพราะเขาจะพยายามให้อยู่ด้วยกันมากที่สุด สุดท้ายมันเดาใจกันได้ว่า ผู้ตัดสินมองอย่างไร VAR ควรช่วยแบบไหน เวลาเกิดช็อตต่างๆ ที่จะสามารถมองไปในทิศทางเดียวกันได้ ไม่ได้มองแย้งคนละทิศคนละทางเหมือนกับฟุตบอลไทย

เจ-วรปัฐ อรุณภักดี 2

โกล ประเทศไทย: ด้วยฟุตบอลที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้การทำงานนักพากย์ยากขึ้นหรือไม่

เจ-วรปัฐ: มันยากด้วยความที่ว่า ถ้าผิดพลาดโดยที่ตัดสินใจจาก Laws of the Game จริงๆ เราพอเข้าใจได้ แต่บางครั้งตามกติกาของ Laws of the Game มันชัดอยู่แล้ว แต่ผู้ตัดสินไปมองว่า ลูกนี้ไม่ฟาวล์ เช่นจังหวะแฮนด์บอลเป็นปัญหามากในฟุตบอลไทย อย่างลูกที่เห็นชัดอยู่แล้วว่า เป็นแฮนด์บอล แต่ทำไมผู้ตัดสินไม่ให้ สิ่งที่เรารับรู้มาจาก Laws of the Game หรือการสื่อสารจาก VAR สรุปแล้วเราเข้าใจมันถูกไหม เพราะมันออกไปในเกมที่เป็นปัญหา เพราะมีการถกเถียง

ทางฝั่งผู้ตัดสินก็ปล่อยให้เรื่องมันซาแล้วก็ลงโทษกันภายใน มันทำให้ไม่มีการให้ความรู้คน แล้วเคสแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำเดิมๆ เยอะมาก หรือเคสจุดโทษหรือการปะทะที่ชอบพูดกันว่า น้ำหนักปะทะเพียงพอหรือเปล่า เมืองนอกก็มีนะ ที่บอกการกระแทกไม่หนักแล้วให้เป็นจุดโทษจริงๆ แต่ว่าสังเกตุในบอลไทย การปะทะไม่หนักกลายป็นจุดโทษเยอะมาก นักเตะเขาก็ทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง โดนแตะนิดหน่อยพุ่งล้ม บางเคสวิ่งเข้าไปกระแทกแล้วได้จุดโทษ ซึ่งพอมี VAR แล้วก็ควรจะดูมากกว่าตอนที่ไม่มี มันมีวิธีการอยู่แล้วว่าต้องดูยังไง เราก็พยายามเรียนรู้จากเขา ซึ่งเราไม่ได้เรียนรู้เอง เวลาเราบรรยายเกม เขาจะมีผู้ตัดสินมาให้ความรู้อยู่แล้ว 

แต่หลายครั้งที่เราเข้ามา เราเอาเคสตัวอย่างที่อัดทิ้งไว้ เป็นเคสของฟุตบอลไทยไปถามเขา เขาก็อึกอัก ทั้งที่จริงๆ มันไม่ควรเอาเคสบอลนอกมาให้เราดู ทุกคนดูก็เห็นอยู่แล้วไปย้อนดูที่ไหนก็ได้ แต่ฟุตบอลไทยเขาต้องการคำตอบ เพราะทำงานอยู่ตรงนี้ เขาถึงอยากรู้ว่า จะตอบช็อตนี้ยังงง ปรากฏว่า เขาก็ตอบไม่เคลียร์ 

เคยมีหลายครั้งที่ผู้บรรยายแลกเปลี่ยนกับฝ่ายพัฒนาผู้ตัดสิน บางเคสเขาก็เลี่ยงที่จะไม่ตอบ ทั้งที่จริงๆ แล้ว ไม่ควรเลี่ยงจะตอบเพื่อให้เราได้ไปให้ความรู้กับคนดูได้ถูกต้อง

โกล ประเทศไทย: Voice of Thai League คืออะไร?

เจ-วรปัฐ: เราได้พูดคุยกับไทยลีกไว้ ซึ่งเขาก็บอกว่า ฟันเฟืองหนึ่งของฟุตบอลอาชีพคือผู้บรรยาย ถ้าทำให้เกมบันสนุก มีอรรถรสจะทำให้เกมฟุตบอลน่าดูยิ่งขึ้น เฉพาะผู้บรรยายจะเป็นคนให้ข้อมูลคนที่ไม่มีโอกาสไปสนามฟุตบอลหรือคอฟุตบอลที่ชอบฟุตบอล แต่ไม่ได้ไปสนาม หรือคนที่เพิ่งเคยเปิดมาดูฟุตบอล เราทำยังไงก็ได้ให้เขาประทับใจ รู้สึกว่าฟุตบอลไทยมันน่าดู เราเลยคิดว่า จะต้องเป็นโปรเจคต์ที่เปิดโอกาสให้กับทุกคนที่อยากเป็นผู้บรรยายเข้ามาได้ลองทำ ให้คนได้ทำสิ่งที่อาจเป็นคำถามว่า ทำไมไม่มีคนแบบนี้ในวงการ เราน่าจะเป็นคนแบบนั้นได้นะ หรือคิดว่ามีการนำเสมอฟุตบอลไทยทำให้มีมูลค่ามากยิ่งขึ้น 

โกล ประเทศไทย: สิ่งที่ Voice of Thai League มองหาคืออะไร?

เจ-วรปัฐ: โปรเจคต์นี้เราตั้งใจอยากได้คนหน้าใหม่จริงๆ คำว่าเสียงใหม่ต้องใหม่จริงๆ ไม่ใช่คนที่ทำอาชีพผู้บรรยายอยู่แล้ว เราเปิดโอกาสกว้างให้ทุกคนได้ส่ง Demo เข้ามา พอเราได้คัดกรองรอบแรกมันเกิดมาจากยอดวิว ซึ่งเมื่อคุณทำ Demo เข้ามา มันก็เป็นเสียงสะท้อนในขั้นตอนแรกแล้วว่า อันดับที่จัด 1 ใน 100 เราจะเห็นว่า ถูกคัดกรองมาโดยคนดูอยู่แล้ว และเราก็ดูว่าจะนำมาทำต่อให้เป็นเสียงใหม่ไทยลีกได้ยังไง

เจ-วรปัฐ อรุณภักดี 3

โกล ประเทศไทย: สิ่งที่จำเป็นสำหรับอาชีพนักพากย์ในมุมของคุณคืออะไร

เจ-วรปัฐ: ผมว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ใชไหวพริบมากในการแก้สถานการณ์ในหลายเรื่อง มันก็แล้วแต่มุมของแต่ละคนว่า จะเล่าเรื่องแบบไหน บางคนเสียงดีก็เป็นต้นทุนที่ดี บางคนขายข้อมูลก็ต้องดูว่า คุณภาพฟุตบอลเอาอะไรในวันนั้น ถ้าเกมมันไม่สนุกข้อมูลก็อาจจำเป็น แต่ถ้าเกมมันสนุก แล้วคุณไปใส่ข้อมูลมันก็ไม่ลงตัว มันก็เป็นแนวทางแต่ละคนจะเลือก แต่ต้องดูว่าเขาเข้าใจหรือเปล่ากับการใช้โครงสร้างแบบไหนบรรยายเกม

ตอนนี้กระแสถือว่าเกินคาดในเชิงคุณภาพ แต่ปริมาณอาจจะยังไม่เพียงพอจากความต้องการ ผมคิดว่า คนน่าจะต้องสนใจมากกว่านี้ แต่เวลามันยังเหลือ แต่คนที่ส่งมาก่อนแสดงให้เห็นว่า คุณฉลาด เพราะเมื่อคุณส่งมาก่อนก็จะได้ยอดไลค์ยอดวิวก่อน ซึ่งต่อให้คนเสียงดี แต่ส่งมาทีหลังมันน่าเสียดาย สำคัญที่สุดอย่าไปมองว่า ให้ส่งทันเส้นตาม แต่ต้องส่งให้เร็วที่สุดเพื่อให้คนได้เห็นคลิปของคุณเยอะที่สุด

เราจะพยายามช่วยคัดกรองให้เขาหาตัวตนของตัวเองได้เร็วขึ้น เพราะจริงๆ มันไม่มีผิด และถูก ดีหรือไม่ดี มันอยู่ที่ว่า ตัวตนแต่ละคนที่สะท้อนออกมาอยากจะเป็นอะไร แล้วเราเห็นเขา เขาจะเห็นตรงกับเราหรือเปล่าว่าเป็นแบบนี้ได้ เขาอยากเป็นผู้บรรยายแบบนี้ เขาจะไปต่อยอดตัวเองอย่างไร นี่น่าจะเป็นจุดที่ดีกว่าที่เข้ามาแล้วจะได้เป็นเสียงใหม่ไทยลีกที่ไม่ได้อยู่ในไทยลีกอย่างเดียว เพราะอาชีพผู้บรรยายไม่ได้มีแค่ในทีวี แต่มีเยอะเต็มไปหมด

โกล ประเทศไทย: สิ่งที่อยากแนะนำให้กับคนที่ต้องการเข้าร่วม Voice of Thai League

เจ-วรปัฐ: อิสระเต็มที่เลยครับ กับอะไรที่คิดว่ามันเป็นตัวเอง อยากให้ทำจุดนั้นมากกว่า อย่าไปทำแบบเดิมๆ ที่เราเห็นกัน เพราะคำว่าเสียงใหม่มันไม่ใช่แค่เนื้อเสียงดีหรือมีความรู้อย่างเดียว มันต้องมีเอกลักษณ์สูงมาก เพราะเราไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ใครบ่อยๆ 

อยากจะแนะนำในจุดนี้ว่า ความรู้สึกว่าคนนี้มันแปลกก็ต้องลองไปคิดดูว่าคำจำกัดความนี้จะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความแตกต่าง แต่ไม่ต้องพยายามให้มันต่าง หากจะต่างมันต่างด้วยตัวเอง พื้นที่ตรงนี้น่าจะเป็นพื้นที่ของคนที่มีเอกลักษณ์ในตัวเอง ซึ่งมันจะรู้ตัวเองอยู่แล้ว อยู่ที่คนจะมองเหมือนอย่างที่เราเห็นหรือเปล่าเท่านั้นเอง

สำหรับ Voice of Thai League เสียงใหม่ไทยลีก เปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันตั้งแต่วันที่ 12 - 31 ธันวาคม 2566 ผู้ที่สนใจสามารถส่งคลิปพากย์ฟุตบอลลีกไทย พร้อมกับเปิดหน้าของตัวเอง ใส่คาแร็คเตอร์ของตัวเองออกมาได้เต็มที่ โดยอัปโหลดคลิปพากย์บอลสไตล์ของตัวเอง (ตั้งกล้องแนวนอน) ความยาว 5 นาที และอัปโหลดคลิปใน Facebook ของคุณ ตั้งโพสต์เป็นสาธารณะ พร้อมติด Hashtag #VoiceofThaiLeague #เสียงใหม่ไทยลีก

ส่วนการตัดสินจะแบ่งออกเป็น 3 รอบ ได้แก่ 1. รอบคัดเลือก(ตัดสินจากมหาชน) 2. รอบคัเลือกผ่านการคัดเลือกของกรรม และ 3. การแข่งขันรอบ Final โดยรายละเอียดทั้้งหมดมีดังนี้

รอบคัดเลือก 100 คน

ทีมงานเลือกคลิปที่มีผู้กดไลค์มากที่สุด อันดับ 1 - 100 ที่มีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาโดยคณะกรรมการ

รอบคัดเลือก 20 คน

ประกาศผลผู้เข้ารอบ 20 คนสุดท้าย : 13 มกราคม 2567

การให้คะแนนแบ่งออกเป็น 2 ส่วนดังนี้

คะแนนจากยอดกดไลค์ คิดเป็นสัดส่วน 50 %

คะแนนจากคณะกรรมการ จำนวน 5 ท่าน คิดเป็นสัดส่วน 50 %

หลังจากนำสองส่วนมารวมกัน ผู้ได้ที่คะแนนลำดับที่ 1-20 จะเข้าสู่รอบ Academic day และ รอบ Final day ( 20 คนสุดท้าย )

กิจกรรม Academic day

จัดกิจกรรมวันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2567 ** เวลาและสถานที่จะแจ้งให้ทราบภายหลัง (*สถานที่: PlanB ชั้น 18)

ผู้เข้ารอบ 20 คนสุดท้าย จะได้ร่วมกิจกรรม Exclusive Training โดยนักพากย์ชั้นนำของเมืองไทย

รอบ Final day

จัดกิจกรรมวันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2567 ** เวลาและสถานที่จะแจ้งให้ทราบภายหลัง (*สถานที่: PlanB ชั้น3 โซน canteen)

โดยลำดับขึ้นพากย์ คือคะแนนอันดับ 20 >>> คะแนนอันดับ 1 (คะแนนจากรอบคัดเลือก 20 คน )

โดยจะขึ้นมาสุ่มจับแมตช์ที่ต้องพากย์ และทำการพากย์สดคนละ 5 นาที

โดยคะแนนมาจากดุลยพินิจของคณะกรรมการ ( 100 % )

เจ-วรปัฐ อรุณภักดี 4
โฆษณา

ENJOYED THIS STORY?

Add GOAL.com as a preferred source on Google to see more of our reporting

0