China dodgy defending

OPINION : จีนจะเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก?

หากเอ่ยชื่อ“จีน”คงไม่ต้องเสียเวลาบรรยายสรรพคุณความยิ่งใหญ่ จำนวนประชากรกว่า 1,300 ล้านคนคือข้อได้เปรียบทำให้พวกเขามีตัวเลือกด้านทรัพยากรบุคคลมากกว่าทุกชาติในโลก บวกกับแนวคิดของผู้นำคนปัจจุบันที่เปิดรับไอเดียก้าวหน้าจากภายนอกเข้ามาพัฒนาประเทศ จีนจึงยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจของโลกอย่างรวดเร็วเหมือนทุกวันนี้

จีนไม่ได้เจริญก้าวหน้าแค่ระบบเศรษฐกิจและการทหาร แต่วงการกีฬาของพวกเขายังพัฒนาไกลไปสู่ระดับสากล ผลงานติด 1 ใน 4 อันดับแรกทุกครั้งในมหกรรมโอลิมปิคส์นับตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมาคือหลักฐานยืนยันชั้นดี โดยหนึ่งในนั้นเป็นการครองจ้าวเหรียญทองใน”ปักกิ่ง เกมส์”บ้านของตัวเองเมื่อปี 2008 

แต่ใช่ว่าจีนจะประสบความสำเร็จในทุกชนิดกีฬา เพราะมีอยู่อย่างหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยมีรางวัลติดไม้ติดมือ นั่นคือ”ฟุตบอล”กีฬาอันดับหนึ่งของโลก

China dodgy defending

แม้ว่าทีมชาติจีนจะเคยผ่านไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้วในปี 2002 แต่พวกเขายังไม่เคยซิวแชมป์รายการระดับเมเจอร์มาครองแม้แต่ครั้งเดียว ใกล้เคียงที่สุดคือการคว้าตำแหน่งรองแชมป์ในศึก”เอเชียน คัพ”ปี 1984 และ 2004 ชาติที่มีความพร้อมทุกด้านแต่กลับไม่เคยได้แชมป์แม้แต่ในระดับทวีป ถ้าคุณเป็นจีนคุณจะรู้สึกอย่างไร?

นี่จึงเป็นที่มาของการปฏิรูปวงการฟุตบอลในประเทศอย่างจริงจัง รัฐบาลจีนสั่งกวาดล้างการคอร์รัปชัน, การพนันผล และการล้มบอลที่เป็นปัญหาถ่วงความเจริญของเกมลูกหนังแบบถอนรากถอนโคนในปี 2010 ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนในสมาคมลูกหนังถูกจับดำเนินคดี 

ภาพลักษณ์ของวงการลูกหนังถูกชะล้างจนสะอาดเอี่ยม ฟุตบอลในเมืองจีนพัฒนาขึ้นตามลำดับนับจากนั้น อัตราแฟนบอลเข้าชมเกมในสนามเติบโตขึ้น, สโมสรเริ่มลงทุนคว้าแข้งตัวท็อปในยุโรปอย่าง ดาริโอ คอนก้า, ดิดิเยร์ ดร็อกบา, นิโกลาส์ อเนลก้า, เซดู เกต้า หรือ เฟรเดอริค กานูเต้ พร้อมทั้งอิมพอร์ตกุนซือมีดีกรีอย่าง เซร์คิโอ บาติสต้า, ฌอง ติกานา และ มาร์เซโล ลิปปี้ เทรนเนอร์ทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์โลก 2006 เข้ามาทำทีม

ปัจจัยเสริมเหล่านี้ช่วยจีนถีบตัวเองขึ้นมาอยู่แถวหน้าของลูกหนังเอเชียในพริบตา ทั้งในแง่ระดับมาตรฐานของลีกและศักยภาพของนักเตะในท้องถิ่น กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ ประกาศศักดาคว้าแชมป์”เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก” 2 สมัย ในปี 2013 และ 2015 แม้ว่าหลายคนค่อนขอดว่าความสำเร็จของทีมจีนมาจากการเอาเงินฟาดหัวผู้เล่นดาวดังจากต่างชาติ ใช่ - มันคือเรื่องจริง แต่จะเห็นภาพแท้จริงก็ต้องดูให้ถึงรายละเอียด

Marcello Lippi

อย่าลืมว่าทุกทีมถูกจำกัดโควต้าส่งผู้เล่นต่างชาติลงสนามได้แค่ 4 คน(3 ต่างชาติ + 1 เอเชีย) หากผู้เล่นจีนอีก 7 คนของกว่างโจวไม่มีดีติดตัว ไม่มีทางที่จะฝ่าฟันไปถึงฝั่งฝันต่อให้มี ลิโอเนล เมสซี กับ คริสเตียโน โรนัลโด้ อยู่ในทีมด้วย ดังนั้นเราจะเหมารวมว่าพวกเขาประสบความสำเร็จเพราะแข้งอิมพอร์ตอย่างเดียวไม่ได้ 

ขณะที่บรรดาแข้งต่างชาติก็ไม่ได้ย้ายมาที่นี่เพียงเพราะเงินอย่างเดียวแล้ว เปาลินโญ และ เรนาโต้ อกุสโต้ คือตัวอย่าง ทั้งคู่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นในศึก”ไชนีส ซูเปอร์ ลีก”จนถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลอีกครั้งและเป็นตัวจริงในทีมชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะรายแรกที่กำลังเนื้อหอมได้รับความสนใจจากบิ๊กทีมในยุโรปอย่างบาร์เซโลนา

จากลีกที่เป็นเพียงทางผ่านเพื่อโกยเงินก่อนเลิกเล่น วันนี้มันกลายเป็นลีกชุบชีวิตค้าแข้งของเหล่าแข้งอิมพอร์ต ไม่อย่างนั้นออสการ์วัย 25  คงไม่กล้าเอาอาชีพมาเสี่ยงกับ เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี  แม้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเงินคือปัจจัยส่วนหนึ่ง แต่ลึกๆแล้วเจ้าตัวต้องการกลับมาแจ้งเกิดในอาชีพอีกครั้ง หลังจากสูญเสียความมั่นใจจากการตกเป็นตัวสำรองที่เชลซีอยู่นาน

เมื่อศึก”ไชนีส ซูเปอร์ ลีก”ดำเนินไปได้ด้วยดีตามแผน สมาคมลูกหนังจีนจึงปรับโครงสร้างหันมาเน้นพัฒนาผู้เล่นท้องถิ่นเป็นหลัก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเป้าหมายในระยะยาวของพวกเขา 

Hulk Shanghai SIPG Chinese Super League CSL 10072016AFP/Getty Images

จึงเป็นที่มาของการปรับลดโควต้าผู้เล่นต่างชาติในปีนี้ จากเดิมอนุญาตให้ส่งลงสนามได้ 4 คน(3 ต่างชาติ + 1 เอเชีย) แต่จากนี้ไปแต่ละทีมจะส่งได้แค่ 3 คน(รวมแข้งเอเชีย) 
รวมถึงออกกฎเก็บภาษีกับการซื้อผู้เล่นต่างชาติในราคาที่มากกว่า 45 ล้านหยวน หรือราว 5 ล้านปอนด์ แบบ 100% ด้วย 

สมมติว่า เทียนจิน ฉวนเจี่ยน ทุ่มเงินคว้าตัว ดิเอโก้ คอสต้า ด้วยสนนราคา 76 ล้านปอนด์ พวกเขาต้องเสียภาษีตามกฎใหม่อีก 76 ล้านปอนด์ เบ็ดเสร็จแล้วต้องเสียเงินทั้งสิ้น 152 ล้านปอนด์ โดยเงินส่วนนั้นจะถูกโยนไปให้กับศูนย์พัฒนาฟุตบอลเยาวชนแห่งชาติ 

จีนจึงกลายเป็นฝ่ายได้รับประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง นัยหนึ่งคือการขจัดปัญหาการไหลทะลักเข้ามาของบรรดาแข้งต่างชาติ อีกนัยคือการกระตุ้นให้ทุกสโมสรลดค่าใช้จ่ายและหันมาใช้บริการผู้เล่นในท้องถิ่นแทน

ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ยังสนับสนุนวงการลูกหนังในประเทศอย่างเต็มที่ ถึงขนาดประกาศแผนยุทธศาสตร์ผลักดันจีนเป็นมหาอำนาจโลกฟุตบอลภายในปี 2050 

President Xi Jinping ChinaGetty Images

เริ่มจากส่งเสริมให้ประชาชนเป็นแฟนกีฬาฟุตบอลอย่างน้อย 50 ล้านคน, สร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลอย่างน้อย 20,000 แห่ง และสนามฟุตบอลอย่างน้อย 70,000 แห่งภายในปี 2020 และตั้งเป้ามีสนามฟุตบอล 1 แห่ง ต่อประชากร 10,000 คนภายในปี 2030 

นอกจากแผนงานอันเป็นรูปธรรมแล้ว รัฐบาลชุดนี้ยังเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรร่วมพัฒนาฟุตบอลกับสหพันธ์ลูกหนังเยอรมันด้วย ก่อนความสัมพันธ์ในครั้งนี้จะกลายประเด็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อทีมชาติจีนชุดยู-20ได้รับเชิญให้ลงแข่งในลีกดิวิชัน 4 เมืองเบียร์ในฤดูกาลหน้า

การเชิญข้ามทวีปแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการลูกหนังโลก ก่อนหน้านี้เต็มที่แค่ส่งทีมไปเล่นในประเทศเพื่อนบ้านเรือนเคียง อย่างเช่น สิงค์โปร กับ มาเลเซีย ที่เคยทำสัญญาส่งทีมสลับไปเล่นในลีกของกันและกัน นี่จึงเป็นโอกาสดีสำหรับทีมชาติจีนชุดเล็กที่จะได้สัมผัสลีกอาชีพระดับโลก พวกเขาจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ก่อนลงเล่นโอลิมปิค เกมส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น

นับตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปและพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ผลงานของทีมชาติจีนในเวทีระดับนานาชาติดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาผ่านเข้าถึงรอบ 10 ทีมสุดท้ายในการคัดบอลโลก 2018 แม้ว่าจะหมดโอกาสตีตั๋วสู่รอบสุดท้ายแล้ว แต่ฟอร์มการเล่นอยู่ในระดับน่าพอใจโดยเฉพาะ 4 เกมหลังสุด หนึ่งในนั้นคือการเปิดรังเอาชนะทีมแกร่งอย่างเกาหลีใต้ 

Chinese Fan

หากย้อนกลับมามองวงการฟุตบอลไทย เรามีอะไรเหมือนจีนหลายอย่าง ลีกกำลังพัฒนารุดหน้าไปได้ดี, ผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายศึกบอลโลก 2018 และ
เซ็นสัญญาMOUกับสหพันธ์ลูกหนังญี่ปุ่น ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองแล้วว่าจะช่วยผลักดันวงการลูกหนังให้ก้าวไปข้างหน้าได้มากแค่ไหน

หลายคนคงหัวเราะตอนที่จีนประกาศขอคว้าแชมป์โลกในภายปี 2050 แต่การก้าวเท้าเดินไปหาความฝันอย่างมีแบบแผนไม่ใช่เรื่องตลก ตรงกันข้ามมันคือเรื่องที่น่ายกย่องแม้ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะไปถึงจุดหมายหรือไม่ก็ตาม

อย่างน้อยก็ไม่ควรลืม ว่าชาติอย่างญี่ปุ่นก็เดินหน้า ‘แผนร้อยปี’ มาได้ประมาณครึ่งทาง และทีมฟุตบอลหญิงของพวกเขาก็เป็นแชมป์โลกไปแล้วเสียด้วย

Chinese Fan
โฆษณา

ENJOYED THIS STORY?

Add GOAL.com as a preferred source on Google to see more of our reporting

0