
มีนักกีฬาอยู่เพียงไม่กี่คน ที่เปลี่ยนจากคนที่ไม่มีใครรู้จัก กลายเป็นคนที่โด่งดังภายในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้
เมแกน ราปิโน ไม่ใช่ตัวละครลับอะไรในหมู่คนติดตามฟุตบอลหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนบอลทีมชาติสหรัฐอเมริกา เพราะเธอเคยได้แชมป์ฟุตบอลโลก และเหรียญทองโอลิมปิกมาครอบครองอยู่ก่อนแล้ว
อย่างไรก็ดี ในปีนี้ เธอประสบความสำเร็จมากกว่าเพียงฟุตบอลโลกสมัยที่สอง
เธอกลายเป็นนักฟุตบอลหญิงคนแรกที่กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ตัวจริง เป็นซูเปอร์สตาร์ในวงการกีฬาคนแรกที่ไปได้ไกลกว่าสหรัฐอเมริกา เป็นนักเตะที่ได้รับความสนใจจากคนสนใจกีฬาฟุตบอลทั่วโลก หรือแม้กระทั่งกับคนจากทำเนียบขาว
เมแกน ราปิโน มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นไม่เพียงในสนามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนอกสนามด้วย
รางวัลรองเท้าทองคำของฟุตบอลโลก, รางวัลลูกฟุตบอลทองคำ, รางวัลนักเตะหญิงยอดเยี่ยมของฟีฟ่า รวมถึงรางวัล Goal 50 ตกเป็นของราปิโน จากผลงานในทีมชาติสหรัฐอเมริกาที่ประเทศฝรั่งเศสตลอดหน้าร้อนที่ผ่านมา
แต่เธอยังกลายมาเป็นตัวแทนของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกมาก
เธอทำให้ผู้คนได้ใคร่ครวญถึงความหมายของการเป็นชาวอเมริกันที่ดี หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือพยายามคิดที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง

ราปิโนมีการเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อให้ผู้คนพร้อมจะเปิดรับนักกีฬา LGBT มากขึ้น เรียกร้องในเรื่องค่าจ้างที่แตกต่างกันระหว่างเพศ รวมถึงสร้างที่ทางของกีฬาหญิงในวงการ
เธอใช้ความมีชื่อเสียงของเธอเพื่อส่งสาร และยืนยันจุดยืนของเธอในเรื่องต่างๆ รวมถึงสนับสนุนเรื่องที่เธอพูดด้วยผลงานในสนาม
เธอได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเตะที่สร้างสรรค์เกมได้เก่งที่สุดคนหนึ่งในยุคของเธอ แต่ต้องใช้เวลาจนถึงอายุ 34 ปี กว่าที่ราปิโนจะได้รับความนิยมในวงกว้าง และกลายเป็นคนที่ชื่อเสียงในวงการฟุตบอลอย่างที่เธอเป็นอยู่ทุกวันนี้
เธอถือเป็นนักเตะที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อวงการฟุตบอลหญิง และอิทธิพลของเธอยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ชื่อเสียงของเธอมาในเวลาที่ทุกคนต้องการ เพื่อเป็นคู่ต่อกรกับ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นความหวังของผู้หญิงและเด็กสาวทั่วโลก เป็นเสียงที่ปี 2019 ต้องการจะได้ยิน

เรดดิ้ง คือเมื่อที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ คาลาบามา
ขณะที่รัฐแคลิฟอร์เนียส่วนใหญ่เป็นเสรีนิยม และเลือกพรรคเดโมแครท เรดดิ้งกลับเป็นรัฐที่เลือกรีพับลิกัน
จิม พ่อของเมแกน เคยรับราชการทหาร เหมือนเช่นพ่อของเขา เขาเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญ และโหวตให้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีในปี 2016
ขณะที่เมแกนสนับสนุนการคุกเข่าประท้วงของ โคลิน แคพเพอร์นิค ควอเตอร์แบ็คเอ็นเอฟแอลเมื่อเดือนกันยายน 2016 ทำให้มีการถกเถียงกับมากมายที่บ้านเกิดของเธอในเรดดิ้ง
พวกชาตินิยมในบ้านเกิดของเธอสนับสนุนให้เธอประสบความสำเร็จมาตลอดเวลาใส่เสื้อทีมชาติ แต่การประท้วงคุกเข่าทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายใจนักที่จะสนับสนุนเธอต่อไป
ที่เรดดิ้ง มีศูนย์ฝึกฟุตบอลที่ตั้งตามชื่อของเธอ ตั้งอยู่ที่ 15 ราปิโน เวย์ แต่ความคิดเห็นเกี่ยวกับเธอที่บ้านเกิดในช่วงที่มีเรื่องประท้วงนั้นแบ่งออกเป็นสองฝั่ง
ทางหนึ่งก็เคารพในความสำเร็จในสนามของเธอ แต่อีกทางหนึ่งก็อยากให้เธอเก็บความคิดเห็นของเธอไว้กับตัวเอง
แต่นั่นไม่ใช่สำหรับ เมแกน ราปิโน สำหรับเธอ เรื่องในสนามและนอกสนามนั้นมีความใกล้ชิดกันจนแยกไม่ออก ถ้าไม่มีเรื่องหนึ่ง คุณก็ไม่มีอะไรเรื่องหนึ่ง
เธอเป็นคนที่ตรงไปตรงมา เป็นคนที่พูดในสิ่งที่คิด และคิดในทุกเรื่องที่เธอพูดออกมา
ถ้าการยอมรับเธอในฐานะนักฟุตบอล ไม่ได้มาพร้อมสถานะของเธอในการเป็นนักเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่แคร์หากว่าจะไม่ได้รับเสียงชื่นชม
เธอใช้โอกาสช่วงที่รับรางวัล FIFA’s The Best Award เพื่อเน้นย้ำถึงปัญหาเรื่องการเหยียดผิวในวงการฟุตบอล แทนที่จะพูดเรื่องเดิมๆ ถึงความสำคัญของการซ้อมอย่างหนัก และขอบคุณเพื่อนร่วมทีมอย่างที่ใครๆ ทำกัน
ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้น เธอวิจารณ์ฟีฟ่าว่าไม่มีความเคารพต่อผู้อื่น เมื่อกำหนดเกมนัดชิงชนะเลิศตรงกับนัดชิงชนะเลิศของ โคปา อเมริกา และคอนคาเคฟ โกลด์ คัพ
ขณะเดียวกัน ข้อเรียกร้องเรื่องค่าใช้จ่ายที่เท่าเทียมของเธอและเพื่อนร่วมทีมก็ยังดำเนินต่อไป เมื่อความสำเร็จของทีมฟุตบอลหญิงช่างขัดแย้งกับความล้มเหลวของทีมฟุตบอลชายอย่างยิ่ง

เรื่องราวของราปิโน เริ่มต้นขึ้นจากกระแสความนิยมของฟุตบอลหญิงในสหรัฐอเมริกา และยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้
นับตั้งแต่วันที่พ่อของเธอพาเธอและน้องสาว ราเชล ไปดูฟูตบอลโลกหญิง รอบรองชนะเลิศ ระหว่างสหรัฐอเมริกา พบ บราซิล ที่สแตนฟอร์ด สเตเดียม ในแคลิฟอร์เนีย โชคชะตาของเธอก็เหมือนถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
เธอเป็นผู้หญิงที่ต่อสู้เพื่อกลับมาจากอาการบาดเจ็บหัวเข่าหลายต่อหลายครั้ง ต้องแบกรับความผิดหวังจากการพลาดลงเล่นในโอลิมปิกและฟุตบอลโลก ต้องก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นเพื่อให้มีที่ทางอยู่ในวงการลูกหนังเหมือนเช่นทุกวันนี้
ความสำเร็จของเธอ ควรจะทำให้เธอกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ของชาวอเมริกันได้อย่างง่ายๆ แต่กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
มันเป็นเรื่องแปลกที่นักกีฬามักถูกคาดหวังให้ต้องสงบปากสงบคำและเชื่อฟังโดยดี แต่ราปิโนเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ปฏิเสธจะทำตามความคาดหวังเหล่านั้น
เธอประกาศอย่างชัดเจนว่าอยู่ตรงข้ามกับทรัมป์ ด้วยการพูดว่า “เราจะไม่ไปที่ไอ้ทำเนียบขาวเฮงซวยนั่น” ถ้าสหรัฐอเมริกาได้แชมป์ฟุตบอลโลก
นั่นคือวันที่นักฟุตบอลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอเมริกาแตกหักอย่างชัดเจนกับผู้นำสูงสุดของประเทศ

ชัยชนะในการเลือกตั้งของทรัมป์เมื่อปี 2016 ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมายทั่วอเมริกา และมันก็ทำให้ราปิโน ไม่อาจทนเงียบอยู่ได้อีกต่อไป เธอก้าวขึ้นมาเป็นปากเสียงให้กับบรรดาคนที่อยู่ชายขอบในสังคม
เธอและคู่ขาของเธอ ซู เบิร์ด ซูเปอร์สตาร์ WNBA กลายเป็นคู่รักเพศเดียวกันคู่แรกที่ได้ชึ้นปก ESPN’s Body Issue.
นับตั้งแต่เธอประกาศตัวเมื่อปี 2012 เธอก็เป็นปากเสียงในประเทศเรื่องสิทธิของ LGBT มาโดยตลอด
ทรัมป์ตอบโต้คำพูดของเธอ ด้วยการบอกว่าเธอควรจะได้แชมป์ฟุตบอลโลกเสียก่อนที่จะมาคิดถึงการเดินทางมาเยือนทำเนียบขาว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทันทีที่เธอก้าวเท้าลงสู่สนามฟุตบอลครั้งต่อไป นั่นคือในฟุตบอลโลก รอบก่อนรองชนะเลิศที่พบฝรั่งเศส เธอก็ยิงไป 2 ประตู
ท่าดีใจของเธอ ที่ล้อเลียนท่าทางของทรัมป์ กลายเป็นกระแสโด่งดังในวงการกีฬาช่วงหน้าร้อน และในรอบชิงชนะเลิศ เธอก็สร้างผลงานกระฉ่อนโลกอีกครั้ง
จุดโทษของเธอที่ช่วยให้สหรัฐอเมริกา ได้เหรียญทองเป็นสมัยที่ 4 ทำให้เธอกลายเป็นนักเตะที่อายุมากที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศในทันที
นั่นคือเรื่องราวโดยสรุปของเธอ ที่เริ่มต้นในเรดดิ้ง ก่อนจะจบลงด้วยการที่ เมแกน ราปิโน ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของโลกอีกครั้ง

ในช่วงฟุตบอลโลก 2011 เมื่อทำประตูโคลอมเบียได้ ราปิโนหยิบไมโครโฟนในสนามขึ้นมา และร้องเพลง Born in the USA ของ บรูซ สปริงส์ทีน
ในหลายๆ แง่มุม นี่คือเพลงที่เหมาะสมสำหรับราปิโนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อฟังรอบแรก คุณอาจจะเข้าใจผิดว่ามันคือเพลงที่แสดงความรักชาติอย่างรุนแรง และทำให้เลือดชาตินิยมฮึกเหิมขึ้นมา แต่เมื่อฟังให้ลึกลงไป มันเป็นเพลงที่ต้องการจะสื่อว่าสังคมอเมริกันกำลังหลงทางอย่างไร
เมื่อเมแกน ราปิโน ยืนตรงเวลาได้ยินเพลงชาติ เพราะเวลานี้การคุกเข่ากลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เธอก็ยืนอย่างเงียบงัน และทำให้ชาวอเมริกันทำตามเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เธอแสดงให้โลกเห็นว่าอเมริกันไม่ได้มีแบบเดียว ไม่ใช่เป็นอย่างที่ทรัมป์พยายามจะทำให้ทั้งโลกเข้าใจ เธอเองก็เกิดในอเมริกา และเป็นตัวแทนมันด้วยความภาคภูมิ
อย่าได้หลงเชื่อว่าเมแกน ราปิโน ไม่ได้รักชาติ


